ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1091

สรุปบท ตอนที่ 1091 ล้อมจับ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 1091 ล้อมจับ – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1091 ล้อมจับ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

“ซวีหลิง ตอนนี้เจ้าไร้ทางหนีแล้ว หากรู้จักสถานการณ์ก็จงมอบแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์ออกมาเสียโดยดี! แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่มีประโยชน์อันใดต่อเจ้า? เมื่อก่อนท่านปี้โยวดีต่อเจ้าไม่น้อย เห็นแก่ที่เจ้ากับข้าเคยเป็นสหายกันมานานปี ข้าจะช่วยพูดกับท่านปี้โยวแทนเจ้า บางทีเจ้าอาจรอดพ้นความตาย!” ปี้เหยียนแค่นเสียงหยัน ขณะที่มือข้างหนึ่งเปล่งแสงสีเขียว ธงน้อยสีเขียวผืนหนึ่งปรากฏ

ไม่เห็นปี้เหยียนใช้วิชาใด แต่บนธงผืนน้อยกลับมีแสงสีเขียวเคลื่อนไหว เส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาสะบัดตามลม

“ปี้เหยียน เสียทีที่ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถามคำถามที่โง่เง่าเช่นนี้! เรื่องมาจนถึงตอนนี้ ต่อให้ข้ามอบแก่นหยกคืนให้ ท่านราชายมโลกจะปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นรึ” ซวีหลิงหัวเราะหึๆ

ปี้เหยียนฟังแล้วก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพูดต่ออย่างแช่มช้า

“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าเจ้าจะตายแล้วยังไม่สำนึก ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ รอจับเจ้าได้แล้วค่อยค้นวิญญาณก็ได้!”

“ฮ่าๆ วันนี้ต่อให้เจ้าค้นทั่วทั้งแดนวารีมืดก็อย่าหวังว่าจะหาแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์ก้อนนั้นพบ!” ซวีหลิงหัวเราะฮ่าเสียงดังลั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ราวกับว่าปี้เหยียนกำลังพูดบางสิ่งที่น่าหัวร่ออย่างยิ่ง

“หรือว่าเจ้าหลอมมันไปแล้ว!” ปี้เหยียนได้ยินก็ตกตะลึงแล้วโกรธจัดขึ้นมาทันที

ซวีหลิงหัวเราะเยาะ ดวงตาเคลื่อนไปมองเกราะป้องกันสีขาวที่ครอบอยู่เหนือศีรษะ แม้ไม่พูด แต่ความหมายก็ชัดแจ้งไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว

“ดี ดียิ่ง! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ใช้ชีวิตเจ้ามาบรรเทาเพลิงโทสะของท่านปี้โยวลงบ้างแล้ว” ปี้เหยียนสีหน้าถมึงทึงจนราวกับจะเค้นออกมาเป็นน้ำได้ ไม่รู้ว่าเพราะหวาดกลัวหรือโกรธเกรี้ยว เสียงจึงสั่นน้อยๆ อยู่เลือนราง

ธงน้อยในมือเขาสะบัดครั้งหนึ่ง ผิวธงพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เส้นไหมสีเขียวโถมออกมาอย่างบ้าคลั่งล้อมเข้าหาซวีหลิง

เห็นปี้เหยียนลงมือ เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ก็เหาะออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ฝ่ามือของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงส่องสว่างวูบหนึ่ง แส้ยาวสีเงินอ่อนเส้นหนึ่งก็ปรากฏ สะบัดหนหนึ่งพลันกลายเป็นเงาแส้ยาวหลายสิบจั้งเจ็ดแปดเส้นฟาดเข้าใส่ซวีหลิงดั่งพายุฝนกระหน่ำ

เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์สองตาเปล่งแสงจิตวิญญาณเจิดจ้า จมูกพ่นลมครั้งหนึ่ง ฟองอากาศใสมหึมาฟองหนึ่งก็ผุดออกมาจากด้านใน มันสั่นไหวกลางสายลมแล้วกลายเป็นฟองอากาศใสเรียงรายเป็นแถบล้อมเข้าใส่ซวีหลิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ทั้งสามตนร่วมมือกันก็ปิดตายทางหนีทั้งหมดแทบจะในพริบตา

ทว่าไม่เห็นสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของซวีหลิงแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจไยดีการโจมตีของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์สักนิด ร่างกายขยับไหวครั้งหนึ่งก็พุ่งตรงไปหาปี้เหยียน

ปี้เหยียนสีหน้าตกตะลึงวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน เส้นไหมสีเขียวที่โผล่ออกมาจากธงผืนน้อยเปล่งแสงสว่างจ้าร้อยรัดกันกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีน้ำเงินผืนหนึ่ง ครอบลงมาใส่ซวีหลิงที่พุ่งเข้ามา

ไหนเลยจะรู้ว่า ซวีหลิงเพียงสะบัดหัวไหล่ครั้งเดียว ร่างกายก็บิดเป็นมุมประหลาดอย่างต่อเนื่องจนคล้ายต้นหญ้าลอยบนสายน้ำ แลดูประหลาดยิ่งนัก

ภาพที่น่าเหลือเชื่อภาพหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว!

แสงสีเทาสว่างวูบหนึ่ง ร่างกายของซวีหลิงกลับเหมือนควันสีเทาอ้อยอิ่งสายหนึ่ง ลอยหายไปจากตาข่ายเส้นไหมสีเขียวอย่างไร้ร่องรอย

การโจมตีของพวกปี้เหยียนสามคนพลาดเป้าทันที

อึดใจต่อมาพลันเกิดระลอกคลื่นหลังร่างของปี้เหยียน ร่างกายที่เหมือนหมอกควันของซวีหลิงปรากฏตัวออกมาแล้วโถมเข้าใส่ผู้เฒ่าผมขาวอย่างไม่พูดพร่ำ

“เจ้า…”

ผู้เฒ่าผมขาวหน้าถอดสี แม้เขาจะพลังระดับแก่นแท้ขั้นกลาง แต่ยามปกตินอกจากฝึกฝนพลังก็เอาแต่ศึกษาศาสตร์ค่ายกลเพียงอย่างเดียว น้อยครั้งนักจะลงมือต่อสู้กับผู้อื่น ดังนั้นเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นจึงยืนอยู่ด้านหลังปี้เหยียน อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าซวีหลิงจะเล็งเขาอยู่

ปี้เหยียนหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นการกระทำของซวีหลิงก็หน้าถอดสีเช่นกัน

ความสามารถในการต่อสู้ของผู้เฒ่าผมขาวเป็นอย่างไร เขารู้ชัดเจนยิ่งนัก เขารีบร้อนโถมเข้าไปพร้อมกับโบกธงน้อยในมือทันที เส้นไหมสีเขียวนับพันหมื่นพุ่งพรวดเข้าใส่ซวีหลิง

ทว่าสุดท้ายการเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าไปชั่วพริบตา เวลานี้ร่างกายของซวีหลิงยังห่างจากร่างของผู้เฒ่าผมขาวอีกสามสี่จั้ง

แม้ผู้เฒ่าผมขาวจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ปฏิกิริยาก็หาได้เชื่องช้า มือซ้ายยกขึ้นตบ รีบร้อนสร้างเกราะป้องกันสีขาวหม่นชั้นหนึ่งบนร่าง ส่วนมือขวาสะบัดเรียกโล่กลมสีเทาชิ้นหนึ่งออกมาขวางเบื้องหน้า

เมื่อเขาพ่นยันต์ตัวหนึ่งจากปากร่วงต้องโล่กลม ผิวโล่ก็แผ่แสงสีเทาออกมาล้อมทั้งร่างของเขาไว้ด้านในทันที

ผู้เฒ่าผมขาวเพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ กำปั้นสีเทาข้างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าแล้วทุบลงมาอย่างแรง

โล่กลมสีเทาสะท้านในทันใด แสงสีเทาที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังมหาศาลสายหนึ่งแทรกผ่านเข้ามากระแทกทั้งคนทั้งโล่จนปลิวออกไป

ใบหน้าของผู้เฒ่าผมขาวซีดเผือด ตั้งแต่ถูกโจมตีจนถึงตอนนี้ กระทั่งเงาของซวีหลิงเขาก็ยังมองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสจิตสังหารที่ราวกับมีตัวตนได้อย่างชัดเจน เมื่อใจลนลาน มือก็ทำท่าเคล็ดวิชา พาร่างกายกับโล่กลมสีเทาเหาะมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว

“ระวังข้างหลัง!” ผู้เฒ่าผมขาวเพิ่งเหาะออกไปได้ไม่กี่จั้ง ในหูพลันได้ยินเสียงปี้เหยียนตะโกน

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนอง เสียงฉึกก็ดังขึ้น เกราะป้องกันสองชั้นที่ปกป้องร่างกายของเขาทลายลงติดๆ กัน จากนั้นท้องน้อยก็เย็นวูบ แขนข้างหนึ่งทะลวงผ่านทะเลจิตวิญญาณของเขาควักแก่นแท้สีขาวดวงหนึ่งออกมา

“โง่เง่า จะแข่งความเร็วกับข้าซวีหลิง…” นี่คือประโยคสุดท้ายที่ผู้เฒ่าผมขาวได้ยินก่อนดวงจิตดับสูญ

หกคนร่วมแรง แสงเรืองรองนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ซวีหลิงที่อยู่ตรงกลาง พลังมหาศาล บริเวณที่โจมตีกว้างยิ่งนัก แทบจะปิดตายทุกทิศรอบตัวซวีหลิงอย่างสมบูรณ์

ซวีหลิงเผชิญหน้ากับการโจมตีอันดุดันเช่นนี้กลับมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างผิดคาด ร่างกายบิดครั้งหนึ่งก็ขยับวูบไหวต่อเนื่องราวกับอสรพิษไร้กระดูก หลบพ้นการโจมตีส่วนใหญ่ของทุกตนไปดุจภูตพราย

แววตาประหลาดใจแล่นผ่านดวงตาของหลิ่วหมิง ตัวเขามีพลังของวิชาเงาสามส่วน อีกทั้งเคยฝึกปรือวิชาท่าร่างแปลกพิสดารในแดนมายามาแล้ว แต่ก็ยังใช้วิชาท่าร่างที่เคลื่อนย้ายร่างกายได้พิสดารเช่นนี้อย่างซวีหลิงไม่ได้

หลังจากนั้นทั้งหกตนก็โจมตีรุนแรงขึ้นทุกระลอก แต่ซวีหลิงเป็นดั่งเงาสีเทาสายหนึ่ง ร่างกายเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ไม่ว่าพวกหลิ่วหมิงจะกระหน่ำโจมตีอย่างไรก็ยังดูท่าทางสบายๆ

ตอนนี้ปี้เหยียนยังไม่ลงมือ ตรงกันข้ามเขายืนอยู่กลางท้องฟ้าก้มมองการสู้รบเบื้องล่าง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่บ้าง

บนท้องฟ้า เผ่ายมโลกครึ่งแมลงสะบัดแส้ยาวสีเงินในมือครั้งหนึ่งกลายเป็นเงาแส้เจ็ดแปดสายหวดเข้าใส่ร่างกายของซวีหลิงที่เพิ่งปรากฏตัว

ทว่าซวีหลิงสะบัดหัวไหล่ครั้งเดียว เขาก็กลายเป็นเงาเลือนรางหลายร่างแยกย้ายไปสี่ทิศ แส้ยาวสีเงินหวดถูกเพียงเงาติดตาสองสามร่าง

เงาสีเทาขยับวูบหนึ่ง ซวีหลิงปรากฏตัวห่างไปสิบกว่าจั้ง

ในตอนนี้เองธงน้อยที่ทอแสงสีเขียวหม่นผืนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา มันหมุนติ้วขณะที่ยันต์ประหลาดนับไม่ถ้วนทะลักออกมากลายเป็นเส้นไหมสีเขียวหลายสายตวัดม้วน

ซวีหลิงไม่ทันป้องกัน ร่างกายถูกเส้นไหมสีเขียวชั้นแล้วชั้นเล่าห่อไว้ด้านในกลายเป็นรังไหมสีเขียวเข้มรังหนึ่งทันที

“ดี จับได้แล้ว!” ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ตะโกนเสียงดังอย่างดีใจ นิ้วมือดีดเบาๆ แสงกระบี่บินสีม่วงยาวสิบกว่าจั้งสองสายก็ฟันไขว้เป็นกากบาทใส่ซวีหลิงที่ถูกจับไว้

แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่แสงกระบี่ของเขาจะไปถึง เงาสีเทาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากเส้นไหมสีเขียวชั้นแล้วชั้นเล่าราวกับเป็นเงาอันว่างเปล่าอย่างแท้จริง

“ระวัง ร่างกายของเผ่าภูตสูญเดิมทีก็เป็นร่างกึ่งวิญญาณ! ดูท่าวันนี้ซวีหลิงผู้นี้จะทำให้ร่างกายกลายเป็นสภาพไร้ตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว การโจมตีทั่วไปทำร้ายเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ขังเขาไว้ไม่ได้แล้ว!” เสียงของปี้เหยียนดังขึ้น ทันทีที่เงาของอีกฝ่ายปรากฏตัวบนท้องฟ้า เขาก็กวักมือข้างหนึ่งเรียกเส้นไหมสีเขียวเต็มฟ้าให้พุ่งแหวกอากาศกลับมา พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วก่อตัวเป็นธงผืนน้อยใหม่อีกครั้ง

คนที่เหลือได้ยินย่อมตกตะลึง

หลิ่วหมิงฟังจบก็เข้าใจทันที

มิน่าซวีหลิงผู้นี้จึงรอดจากการโจมตีดุจพายุฝนกระหน่ำของทุกคนมาได้โดยไม่เป็นอันใดแม้แต่น้อย นอกจากวิชาท่าร่างที่พิสดารหยั่งไม่ถึงนั่น เขายังมีพลังประหลาดนี้ที่ทำให้ร่างกายกลายเป็นสภาพไร้ตัวตนได้อีกด้วย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา