“ซวีหลิง ตอนนี้เจ้าไร้ทางหนีแล้ว หากรู้จักสถานการณ์ก็จงมอบแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์ออกมาเสียโดยดี! แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่มีประโยชน์อันใดต่อเจ้า? เมื่อก่อนท่านปี้โยวดีต่อเจ้าไม่น้อย เห็นแก่ที่เจ้ากับข้าเคยเป็นสหายกันมานานปี ข้าจะช่วยพูดกับท่านปี้โยวแทนเจ้า บางทีเจ้าอาจรอดพ้นความตาย!” ปี้เหยียนแค่นเสียงหยัน ขณะที่มือข้างหนึ่งเปล่งแสงสีเขียว ธงน้อยสีเขียวผืนหนึ่งปรากฏ
ไม่เห็นปี้เหยียนใช้วิชาใด แต่บนธงผืนน้อยกลับมีแสงสีเขียวเคลื่อนไหว เส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาสะบัดตามลม
“ปี้เหยียน เสียทีที่ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถามคำถามที่โง่เง่าเช่นนี้! เรื่องมาจนถึงตอนนี้ ต่อให้ข้ามอบแก่นหยกคืนให้ ท่านราชายมโลกจะปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นรึ” ซวีหลิงหัวเราะหึๆ
ปี้เหยียนฟังแล้วก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพูดต่ออย่างแช่มช้า
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าเจ้าจะตายแล้วยังไม่สำนึก ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ รอจับเจ้าได้แล้วค่อยค้นวิญญาณก็ได้!”
“ฮ่าๆ วันนี้ต่อให้เจ้าค้นทั่วทั้งแดนวารีมืดก็อย่าหวังว่าจะหาแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์ก้อนนั้นพบ!” ซวีหลิงหัวเราะฮ่าเสียงดังลั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ราวกับว่าปี้เหยียนกำลังพูดบางสิ่งที่น่าหัวร่ออย่างยิ่ง
“หรือว่าเจ้าหลอมมันไปแล้ว!” ปี้เหยียนได้ยินก็ตกตะลึงแล้วโกรธจัดขึ้นมาทันที
ซวีหลิงหัวเราะเยาะ ดวงตาเคลื่อนไปมองเกราะป้องกันสีขาวที่ครอบอยู่เหนือศีรษะ แม้ไม่พูด แต่ความหมายก็ชัดแจ้งไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว
“ดี ดียิ่ง! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ใช้ชีวิตเจ้ามาบรรเทาเพลิงโทสะของท่านปี้โยวลงบ้างแล้ว” ปี้เหยียนสีหน้าถมึงทึงจนราวกับจะเค้นออกมาเป็นน้ำได้ ไม่รู้ว่าเพราะหวาดกลัวหรือโกรธเกรี้ยว เสียงจึงสั่นน้อยๆ อยู่เลือนราง
ธงน้อยในมือเขาสะบัดครั้งหนึ่ง ผิวธงพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เส้นไหมสีเขียวโถมออกมาอย่างบ้าคลั่งล้อมเข้าหาซวีหลิง
เห็นปี้เหยียนลงมือ เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ก็เหาะออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ฝ่ามือของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงส่องสว่างวูบหนึ่ง แส้ยาวสีเงินอ่อนเส้นหนึ่งก็ปรากฏ สะบัดหนหนึ่งพลันกลายเป็นเงาแส้ยาวหลายสิบจั้งเจ็ดแปดเส้นฟาดเข้าใส่ซวีหลิงดั่งพายุฝนกระหน่ำ
เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์สองตาเปล่งแสงจิตวิญญาณเจิดจ้า จมูกพ่นลมครั้งหนึ่ง ฟองอากาศใสมหึมาฟองหนึ่งก็ผุดออกมาจากด้านใน มันสั่นไหวกลางสายลมแล้วกลายเป็นฟองอากาศใสเรียงรายเป็นแถบล้อมเข้าใส่ซวีหลิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ทั้งสามตนร่วมมือกันก็ปิดตายทางหนีทั้งหมดแทบจะในพริบตา
ทว่าไม่เห็นสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของซวีหลิงแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจไยดีการโจมตีของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์สักนิด ร่างกายขยับไหวครั้งหนึ่งก็พุ่งตรงไปหาปี้เหยียน
ปี้เหยียนสีหน้าตกตะลึงวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน เส้นไหมสีเขียวที่โผล่ออกมาจากธงผืนน้อยเปล่งแสงสว่างจ้าร้อยรัดกันกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีน้ำเงินผืนหนึ่ง ครอบลงมาใส่ซวีหลิงที่พุ่งเข้ามา
ไหนเลยจะรู้ว่า ซวีหลิงเพียงสะบัดหัวไหล่ครั้งเดียว ร่างกายก็บิดเป็นมุมประหลาดอย่างต่อเนื่องจนคล้ายต้นหญ้าลอยบนสายน้ำ แลดูประหลาดยิ่งนัก
ภาพที่น่าเหลือเชื่อภาพหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว!
แสงสีเทาสว่างวูบหนึ่ง ร่างกายของซวีหลิงกลับเหมือนควันสีเทาอ้อยอิ่งสายหนึ่ง ลอยหายไปจากตาข่ายเส้นไหมสีเขียวอย่างไร้ร่องรอย
การโจมตีของพวกปี้เหยียนสามคนพลาดเป้าทันที
อึดใจต่อมาพลันเกิดระลอกคลื่นหลังร่างของปี้เหยียน ร่างกายที่เหมือนหมอกควันของซวีหลิงปรากฏตัวออกมาแล้วโถมเข้าใส่ผู้เฒ่าผมขาวอย่างไม่พูดพร่ำ
“เจ้า…”
ผู้เฒ่าผมขาวหน้าถอดสี แม้เขาจะพลังระดับแก่นแท้ขั้นกลาง แต่ยามปกตินอกจากฝึกฝนพลังก็เอาแต่ศึกษาศาสตร์ค่ายกลเพียงอย่างเดียว น้อยครั้งนักจะลงมือต่อสู้กับผู้อื่น ดังนั้นเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นจึงยืนอยู่ด้านหลังปี้เหยียน อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าซวีหลิงจะเล็งเขาอยู่
ปี้เหยียนหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นการกระทำของซวีหลิงก็หน้าถอดสีเช่นกัน
ความสามารถในการต่อสู้ของผู้เฒ่าผมขาวเป็นอย่างไร เขารู้ชัดเจนยิ่งนัก เขารีบร้อนโถมเข้าไปพร้อมกับโบกธงน้อยในมือทันที เส้นไหมสีเขียวนับพันหมื่นพุ่งพรวดเข้าใส่ซวีหลิง
ทว่าสุดท้ายการเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าไปชั่วพริบตา เวลานี้ร่างกายของซวีหลิงยังห่างจากร่างของผู้เฒ่าผมขาวอีกสามสี่จั้ง
แม้ผู้เฒ่าผมขาวจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ปฏิกิริยาก็หาได้เชื่องช้า มือซ้ายยกขึ้นตบ รีบร้อนสร้างเกราะป้องกันสีขาวหม่นชั้นหนึ่งบนร่าง ส่วนมือขวาสะบัดเรียกโล่กลมสีเทาชิ้นหนึ่งออกมาขวางเบื้องหน้า
เมื่อเขาพ่นยันต์ตัวหนึ่งจากปากร่วงต้องโล่กลม ผิวโล่ก็แผ่แสงสีเทาออกมาล้อมทั้งร่างของเขาไว้ด้านในทันที
ผู้เฒ่าผมขาวเพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ กำปั้นสีเทาข้างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าแล้วทุบลงมาอย่างแรง
โล่กลมสีเทาสะท้านในทันใด แสงสีเทาที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังมหาศาลสายหนึ่งแทรกผ่านเข้ามากระแทกทั้งคนทั้งโล่จนปลิวออกไป
ใบหน้าของผู้เฒ่าผมขาวซีดเผือด ตั้งแต่ถูกโจมตีจนถึงตอนนี้ กระทั่งเงาของซวีหลิงเขาก็ยังมองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสจิตสังหารที่ราวกับมีตัวตนได้อย่างชัดเจน เมื่อใจลนลาน มือก็ทำท่าเคล็ดวิชา พาร่างกายกับโล่กลมสีเทาเหาะมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
“ระวังข้างหลัง!” ผู้เฒ่าผมขาวเพิ่งเหาะออกไปได้ไม่กี่จั้ง ในหูพลันได้ยินเสียงปี้เหยียนตะโกน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนอง เสียงฉึกก็ดังขึ้น เกราะป้องกันสองชั้นที่ปกป้องร่างกายของเขาทลายลงติดๆ กัน จากนั้นท้องน้อยก็เย็นวูบ แขนข้างหนึ่งทะลวงผ่านทะเลจิตวิญญาณของเขาควักแก่นแท้สีขาวดวงหนึ่งออกมา
“โง่เง่า จะแข่งความเร็วกับข้าซวีหลิง…” นี่คือประโยคสุดท้ายที่ผู้เฒ่าผมขาวได้ยินก่อนดวงจิตดับสูญ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา