“มีป่าผลึกหมึกแห่งนี้ก่อกวน ข้าตัดสินไม่ได้ว่าตนไหนเป็นร่างจริง แต่เจ้าสารเลวซวีหลิงผู้นี้เสียพลังปราณไปมาก ตอนนี้ยังกล้าใช้วิชาร่างแยกในป่าผลึกหมึกแห่งนี้เห็นชัดว่ากำลังรนหาที่ตาย พวกเราเจ็ดตนแยกกันไล่ตามตนละหนึ่ง!” เวลานี้ทั้งคณะไล่ตามมาจนถึงชายป่าศิลาสีเทาแล้วเช่นกัน ปี้เหยียนเอ่ยสียงดังออกมาประโยคหนึ่งก็เหาะเข้าไปในป่าศิลา ไล่ตามเงาสีเทาร่างหนึ่งในนั้นไปอย่างไม่รีรอแม้แต่น้อย
คนอื่นๆ ได้ยินก็ไม่กล้าชักช้า ต่างคนต่างแยกย้ายไล่ตามร่างแยกร่างหนึ่งไป
หลิ่วหมิงไล่ตามร่างแยกร่างหนึ่งไปเช่นกัน เขาเหาะปานสายฟ้าเข้าไปในป่าศิลาสีเทา
ในป่าศิลามีคลื่นพลังประหลาดอย่างหนึ่งแผ่ออกมาทั่วทุกแห่ง ก่อกวนจิตสัมผัสยิ่งนัก
ร่างแยกของซวีหลิงหนีเข้าไปในป่าศิลาแล้วกลับลัดเลาะอยู่ด้านในดุจมัจฉาแหวกว่ายธารา พริบตาเดียวหายไปจากสายตาของทุกคน ได้แต่ใช้จิตสัมผัสฝืนจับตำแหน่งของอีกฝ่ายที่อยู่ลิบๆ
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ยืนนิ่งสงบอยู่สักที่ในป่าผลึกหมึก คิ้วขมวดแน่น สายตาสำรวจสภาพรอบด้าน
ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาคลาดจากร่างแยกของซวีหลิงร่างนั้น
ในป่าที่แน่นขนัดเช่นนี้ ความเร็วของเขาถูกจำกัดอย่างยิ่ง วิชาท่าร่างประหลาดของร่างแยกซวีหลิงเมื่ออยู่ที่นี่กลับว่องไวจนทำให้เขาประหลาดใจ ไม่นานเขาก็เหาะพ้นจากขอบเขตการสอดส่องของจิตสัมผัสไปประหนึ่งภูตพราย หายเข้าไปในป่าผลึกหมึก
เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ แล้วมุ่งไปเบื้องหน้าต่อ เขาเริ่มมองหาในป่าผลึกหมึกอย่างไร้เป้าหมาย
อีกด้านหนึ่งสถานการณ์ของพวกปี้เหยียนหกตนก็ไม่ต่างจากหลิ่วหมิงมากนัก ทันทีที่ไล่ตามเข้ามาในป่าผลึกหมึกได้ไม่นานก็ทยอยคลาดกับเงาร่างแยกของซวีหลิง
ในเวลาเดียวกันนี้ บนแท่นผลึกหมึกสีเทาราบเรียบแท่นหนึ่งใจกลางป่าผลึกหมึก เงาสูงโปร่งที่ห้อมล้อมด้วยไอหมอกสีเทาร่างหนึ่งยืนอยู่ที่นี่
หากมองผ่านไอหมอกที่รายล้อมก็จะเห็นเลือนรางว่าด้านในคือบุรุษกำยำที่ค่อนข้างหล่อเหลาผู้หนึ่ง คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาก็คือซวีหลิงนั่นเอง
เวลานี้เขาปิดตาทั้งสองข้างสนิท คล้ายกำลังสัมผัสสิ่งใดอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาพลันลืมตา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชา
“ดียิ่ง เป็นเช่นที่ข้าคิด แต่ละตนแยกกันไปหมดแล้ว เช่นนี้ยิ่งดีต่อการถ่วงเวลา!” ซวีหลิงพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นไอหมอกสีเทาก็พลุ่งพล่านรอบร่าง ทั้งร่างกลายเป็นปราณสีเทาก้อนหนึ่งจมหายเข้าไปใต้ดินราวกับละลาย
ไอหมอกสีเทาแทรกลงไปได้ลึกร้อยจั้งก็พบถ้ำใต้ดินขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง
ในถ้ำใต้ดินมีบันไดศิลาสีเทาทอดคดเคี้ยวลงไปเบื้องล่าง ราวกับจะมุ่งไปยังสถานที่ซึ่งลึกกว่านี้
ไอหมอกสีเทาสลายเผยร่างของซวีหลิงออกมา
เขาดูเหมือนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก เหาะรวดเร็วลงไปตามบันไดศิลาโดยไม่พูดพร่ำคำใด
ไม่นานเบื้องหน้าเขาก็ปรากฏประตูศิลามหึมาขนาดหลายจั้งบานหนึ่งซึ่งบนผิวสลักอักขระแปลกประหลาดลี้ลับตัวแล้วตัวเล่าเอาไว้และยังทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ
ซวีหลิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ทั้งร่างกลายเป็นไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งอีกหนแล้วแทรกเข้าไปบนบานประตูศิลา
ด้านหลังประตูคือห้องศิลาขนาดไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง ใจกลางห้องศิลาสลักค่ายกลสีน้ำเงินเส้นผ่านศูนย์กลางสองสามจั้งเอาไว้วงหนึ่ง ใจกลางค่ายกลมีหุ่นมนุษย์สีเทาตลอดร่างสูงหลายจั้งตัวหนึ่งนั่งอยู่
ดูจากวัสดุบนตัวมัน เหมือนจะสร้างมาจากหยกผลึกหมึกในที่แห่งนี้
ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวชัดกลายเป็นร่างกายของซวีหลิงอีกครั้ง
เขามองหุ่นตรงหน้า ดวงตาค่อยๆ ปรากฏแววตาบ้าคลั่ง
จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึก สีหน้ากลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่งนักแล้วก้าวเท้าเร็วไวไปยืนนิ่งตรงหน้าค่ายกลที่หุ่นมนุษย์อยู่
ในตอนนี้เองบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าหวาดหวั่นวิตกอย่างที่หาได้ยาก แต่จากนั้นเขาก็กัดฟัน มือเปล่งแสงสีแดงวูบหนึ่ง ผลึกหินรูปหัวใจขนาดเท่ากำปั้นสีโลหิตทั้งดวงก้อนหนึ่งปรากฏออกมา
“แม้จะเป็นของที่สำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่หากระวังสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด รอสังหารเจ้าพวกไม่รู้จักดีชั่วพวกนั้นให้สิ้น ค่อยสร้างให้เสร็จสมบูรณ์อีกครั้งก็ยังไม่สาย!”
หลังจากเขาจับจ้องผลึกหินในมืออยู่พักหนึ่ง ซวีหลิงพลันพึมพำปลอบประโลมตนเองสองสามคำ จากนั้นดวงตาก็ทอประกายประหลาด แล้วเริ่มอ้าปากท่องมนตร์
พร้อมกับที่เสียงท่องมนตร์ทุ้มต่ำดังขึ้น ผลึกหินรูปหัวใจสีเลือดในมือเขาก็เริ่มเปล่งแสงสีเลือดอย่างเชื่องช้า จากนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นมา
ซวีหลิงใช้มือข้างหนึ่งชักนำอย่างระมัดระวัง ผลึกหินรูปหัวใจลอยไปตรงหน้าอกของหุ่นมนุษย์อย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นแสงสีแดงก็สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ผลึกหินจมหายเข้าไปด้านใน ทว่ามองจากภายนอกยังเห็นจุดสีแดงเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดทอแสงออกมาจากด้านในอยู่เลือนราง
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ซวีหลิงก็เหมือนจะโล่งอก แต่สีหน้ากลับยิ่งเคร่งขรึม สิบนิ้วบนสองมือแปรเปลี่ยนดุจกงล้อส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง เสียงท่องมนตร์ดังออกมาจากปากอย่างต่อเนื่อง
แสงสีแดงตรงหน้าอกของหุ่นหม่นแสงลงอย่างเชื่องช้า แต่ดวงตาซึ่งเดิมทีหม่นหมองไร้ประกายของมันกลับเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างราวกับมีจิตวิญญาณขึ้นมา
ซวีหลิงเห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีแทบคลั่งออกมาในทันใด
……
ณ ที่แห่งหนึ่งในป่าผลึกหมึก หลิ่วหมิงกำลังมุ่งไปด้านหน้าอย่างช้าๆ และระมัดระวัง จิตสัมผัสสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างละเอียด หวังว่าจะหาร่องรอยเล็กน้อยที่ร่างแยกของซวีหลิงทิ้งเอาไว้พบ
ทันใดนั้นสายลมรุนแรงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินก็แทงเข้ามายังลำคอของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี ร่างกายพร่าเลือนหายไปทันที
ฉึบ!
ฝ่ามือสีดำข้างหนึ่งแทงทะลุลำคอของหลิ่วหมิง ทว่าอึดใจต่อมาร่างกายของหลิ่วหมิงกลับสลายหายไป นี่เป็นเพียงเงาติดตาร่างหนึ่งเท่านั้น
เงาคนโผล่ออกมา ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวห่างออกไปหลายจั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา