ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1096

สรุปบท ตอนที่ 1096 ถูกเล่นงานกลับ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 1096 ถูกเล่นงานกลับ – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1096 ถูกเล่นงานกลับ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลิ่วหมิงกับปี้เหยียนสองคนเหาะอยู่กลางท้องฟ้า ไม่นานนักลำแสงสองสายก็เหาะเร็วรี่มาแต่ไกล พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วเผยเงาร่างสองร่างออกมา

พวกเขาก็คือเผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

“สหายปี้เหยียน พวกเรามาแล้ว!” ทั้งสองคนทักทายปี้เหยียน ส่วนหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างกลับทำเหมือนมองไม่เห็น

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจ สีหน้านิ่งสงบเช่นปกติ

ปี้เหยียนเหล่มองหลิ่วหมิง เมื่อเห็นเขาไม่มีสีหน้าผิดปกติก็นึกแปลกใจ แต่ปากกลับยิ้มถามขึ้นว่า

“สหายทั้งสองพบร่องรอยร่างต้นของซวีหลิงหรือไม่?”

“เฮ้อ อย่าพูดเลย! ร่างแยกนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก โฉบไปโฉบมาไม่กี่ครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เมื่อพวกเราหันหลังกลับ มันก็ปรากฎตัวอยู่ไกลๆ…ไล่ๆ หยุดๆ เช่นนี้ก็เจอพี่ชื่อหูเข้าจึงเดินทางมาด้วยกัน ใช่แล้ว พี่ปี้เหยียนเรียกพวกเรามารวมตัวกัน น่าจะมีคำสั่งอื่นกระมัง” เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ถอนหายใจ

“ดูจากร่องรอยร่างแยกของเขาแล้ว ร่างต้นของซวีหลิงเหมือนจะไม่คิดหนีไปไกล ในเมื่อเป็นเช่นนี้การที่เขาล่อพวกเรามาที่นี่คงมีอุบายอันใดอยู่จริงๆ ข้ากับพี่อิ่นหานหารือกันแล้วจึงคิดว่าหลังจากนี้เคลื่อนไหวด้วยกันจะดีกว่า” ปี้เหยียนเอ่ยช้าๆ

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วต่างมองหน้ากัน แต่ก็พยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน

ทั้งสี่ตนรออยู่พักหนึ่ง พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนก็มารวมตัวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

พวกเขาสามตนเห็นด้วยกับความคิดของปี้เหยียนอย่างยิ่ง

“พี่ปี้เหยียน ยามนี้ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ต่อจากนี้พวกเราควรเคลื่อนไหวอย่างไร?” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเอ่ยปากถาม

“ร่างจริงของซวีหลิงยามนี้จะต้องซ่อนอยู่ในป่าผลึกหมึกแห่งนี้แน่ ทุกท่านมีความเห็นเช่นไร?” ปี้เหยียนครุ่นคิดแล้วย้อนถามกลับ

คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน เงียบงันไปชั่วขณะ

“จากที่ข้าสังเกตมาตลอดทาง ป่าผลึกหมึกแห่งนี้ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งถูกก่อกวนจิตสัมผัสและวิชายมโลกหนักหน่วง ไม่สู้พวกเรามุ่งตรงไปใจกลางของสถานที่แห่งนี้ดีหรือไม่?” หลิ่วหมิงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่อิ่นกล่าวมาก็ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผล ลองดูสักหน่อยก็ได้” ปี้เหยียนฟังจบก็เหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยปากเห็นด้วย

พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วล้วนพยักหน้า

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเดิมคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นปี้เหยียนไม่คัดค้านจึงไม่พูดอันใดเพิ่มอีก

ในเมื่อทุกคนที่นั่นล้วนไม่เห็นแย้ง ปี้เหยียนจึงออกคำสั่ง คณะเดินทางเจ็ดตนกำหนดทิศทางแล้วเริ่มเหาะเร็วรี่ไปยังใจกลางป่าผลึกหมึก

เวลาเดียวกันนี้ใต้ดินใจกลางป่าผลึกหมึก ซวีหลิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ

หุ่นมนุษย์เบื้องหน้าเขาดูเหมือนจะตื่นเต็มตาแล้ว สองตาสาดแสงสีน้ำเงินไปรอบด้าน ร่างกายสีเทามีอักขระนับไม่ถ้วนลอยออกมาจนเหมือนบนร่างหุ่นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินชุดหนึ่งอยู่

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดร่างกายครึ่งซ้ายของหุ่นกลับมีส่วนที่แสงสีน้ำเงินหม่นหมองกว่าส่วนอื่นอยู่มากมายจนดูประหลาดอยู่บ้าง

สายตาของซวีหลิงจับอยู่บนตำแหน่งที่แสงสีน้ำเงินหม่นแสงบนตัวหุ่น ดวงตาฉายแววเสียดายเล็กน้อย แต่จากนั้นความยินดีเปี่ยมล้นก็กลบทับ

หุ่นที่ดูไม่ใหญ่โตนักตัวนี้แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งออกมาประหนึ่งมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง

“ดี ดียิ่ง! แม้ไม่อาจควบคุมหุ่นตัวนี้ได้สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็สำแดงพลังได้เจ็ดแปดส่วน พอทัดเทียมผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลาย ไม่เสียทีที่ข้าอดทนอดกลั้นต่อปี้โยวมานานปีเช่นนี้ แล้วยังเสี่ยงอันตรายขโมยแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์มา” ซวีหลิงพึมพำกับตนเองอย่างยินดีถึงขีดสุด

เขาสูดหายใจลึกยาว สีหน้าค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยกับตนเองว่า

“ร่างแยกถูกกำจัดไปสี่ร่างแล้ว แต่ยังดีเจ้าพวกนั้นยังอยู่ในป่าผลึกหมึก เอ๋! แล้วยังมุ่งมาที่ใจกลางอีกด้วย ประหยัดเวลาข้าแล้ว!”

รอยยิ้มเหี้ยมผุดพรายบนใบหน้าของซวีหลิง จากนั้นร่างกายก็บิดเบี้ยวเลือนรางกลายเป็นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งลอยเข้าไปกลางหน้าผากของหุ่น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สองสามลมหายใจหลังจากนั้น หุ่นมนุษย์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกจากประตูหิน

แม้พื้นที่ของป่าผลึกหมึกแห่งนี้จะไม่เล็ก แต่ลำแสงของพวกปี้เหยียนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เหาะมาถึงแถบใจกลางป่าผลึกหมึกแล้ว

เวลานี้ทั้งเจ็ดตนต่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ปล่อยจิตสัมผัสออกมาสำรวจ

เสาหินผลึกหมึกที่นี่สูงใหญ่กว่ารอบนอกอยู่มาก พวกมันสูงถึงร้อยจั้ง เมื่อมาถึงที่แห่งนี้พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังที่ก่อกวนรุนแรงกว่าเดิม

“เอ๋!”

ทันใดนั้นเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ก็อุทานขึ้นเบาๆ ร่างกายขยับเหาะไปด้านหนึ่ง

พวกปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงรีบติดตามไป

เหาะไปได้หลายลี้ ที่ว่างขนาดหลายสิบจั้งผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน เมื่ออยู่ท่ามกลางเสาผลึกหมึกสูงใหญ่รอบด้านแลดูเด่นสะดุดตายิ่งนัก

นอกเหนือจากนี้ใจกลางที่ว่างยังมีแท่นราบเรียบมันวาวที่ทำจากศิลาผลึกหมึกสีเทาขนาดหนึ่งจั้งกว่าแท่นหนึ่งอยู่ด้วย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของแต่ละตนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ที่นี่ไม่เหมือนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ…” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่หวั่งเหลียงเมื่อครู่พบอะไรเข้าหรือ?” ปี้เหยียนกวาดสายตาสำรวจป่าอย่างละเอียดแต่ไม่พบอันใดจึงหันไปมองเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์กำลังจะอ้าปาก ทันใดนั้นพื้นดินรอบด้านก็สั่นไหว เสาผลึกหมึกบนพื้นสั่นรุนแรงแล้วเกิดเสียงดังสนั่น

ยามนี้พวกปี้เหยียนย่อมเห็นสิ่งที่แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลตรงหน้าชัดเจนแล้ว มันก็คือหุ่นรูปร่างเหมือนมนุษย์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ฮี่ๆ ปี้เหยียนน้อย หลายสิบปีมานี้ เจ้าไล่ล่าจนข้าต้องหลบซ่อนหัวซุกหัวซุน วันนี้พวกเราลองแลกตำแหน่งกันดูหน่อยเป็นอย่างไร” เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ปี้เหยียนได้ยินก็หน้าเขียวในพริบตา

ในตอนนี้เองลำแสงสามสายพลันพุ่งขึ้นฟ้าแล้วพุ่งเร็วรี่ไปคนละทิศ เป้าหมายก็คือพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ทั้งสามตนเห็นท่าไม่ดีก็ไม่พูดพร่ำหนีอย่างฉุกละหุก พริบตาเดียวออกไปห่างร้อยจั้ง

“คิดหนี! เหอะ วันนี้คนที่อยู่ที่นี่ ใครก็อย่าคิดจะหนีรอด!” เสียงหัวเราะเยาะของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ทันใดนั้นหุ่นมนุษย์ก็ยกแขนข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นบนนั้น

อากาศสั่นสะเทือน เงาดำเลือนรางสามสายพุ่งพรวดไล่ตามพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินไป

เงาดำเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็มาถึงหลังร่างของทั้งสามตน

อึดใจต่อมาเสียงกรีดร้องของทั้งสามตนก็ดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

ท้องน้อยของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเกิดรูขนาดเท่าศีรษะรูหนึ่ง ร่างพวกเขาเกือบจะขาดเป็นสองท่อน

ตุ๊บ! ศพของทั้งสามตนร่วงลงในป่าผลึกหมึกไกลๆ เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ สิ้นใจไปเช่นนี้

เพียงแค่ยกมือก็สังหารเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นกลางสามตนได้ทันที!

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก แม้แต่สายตาของเขาก็เห็นเพียงเลือนราง เงาดำสามสายนั้นเหมือนจะเป็นวัตถุทรงกระสวยบางอย่าง พลังโจมตีแข็งแกร่งจนพริบตาเดียวก็แทงทะลุการป้องกันของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ที่มีทะนงตนมาตลอดก็หน้าดำคล่ำเครียดเช่นกัน

“หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายรึ? ยมโลกของเรามีน้อยคนนักที่ฝึกฝนวิชาหุ่นสำเร็จ หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใด?” ปี้เหยียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เรียกความสุขุมกลับมาได้บ้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม

ในเวลาเดียวกันนี้เสียงกระแสจิตแผ่วเบาของปี้เหยียนก็ดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง

“แยกย้ายกันหนี พวกเราไม่มีโอกาสแต่อย่างใด ตอนนี้มีเพียงพวกเราสี่ตนร่วมแรงกันเท่านั้นถึงจะคว้าโอกาสรอดน้อยนิดเอาไว้ได้”

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ขยับร่างเล็กน้อยเห็นชัดว่าได้รับเสียงกระแสจิตของปี้เหยียนแล้วเช่นกัน

“หึๆ ไม่เสียทีเป็นลูกน้องที่ปี้โยวเชื่อใจยิ่งนัก ถึงตอนนี้ยังคิดจะหลอกให้ข้าพูดอีก แต่พวกเจ้าอย่าคิดถ่วงเวลาเลย คนที่อยู่ที่นี่วันนี้จะต้องตายทั้งหมด!” เสียงของซวีหลิงเย็นยะเยือก อักขระประหลาดบนผิวของหุ่นแปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า แขนสองข้างขยายใหญ่ เงาดำมากมายหลายสายพุ่งพรวดเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงสี่คน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา