“จัดห้องแยกให้ข้า แล้วยกอาหารดีๆ มาสักหน่อย”
บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดสีเทาปัดชายผ้าที่ปิดตรงเอวออกอย่างไม่ใส่ใจ ป้ายหยกสีเทาแผ่นน้อยโผล่ออกมาแวบหนึ่ง บนนั้นมีอักษรยมโลกตัวน้อยสีเงินเลือนรางสองตัวเขียนไว้ว่า “ต้งหาว”
“ที่แท้เป็นลูกค้าพิเศษ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วที่ไม่ไปรับตั้งแต่หน้าร้าน เชิญตามข้ามาเถิด” เสมียนสายตาดีจนน่าตะลึง ป้ายหยกสีเทาโผล่ออกมาเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ เขาก็เหมือนจะมองเห็นชัดเจนแจ่มเจ้ง
เสมียนยิ้มให้บุรุษวัยกลางคนชุดเทาอย่างไม่แสดงทีท่าผิดแปลกทั้งสิ้น แล้วหมุนตัวเดินไปยังห้องโถงด้านหลัง
บุรุษวัยกลางคนชุดเทาไม่พูดมาก สองมือไพล่หลัง เดินตามไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทั้งสองคนมาถึงห้องโถงด้านหลังเหลาสุรา เลี้ยวครั้งหนึ่งมาหยุดหน้าห้องพักห้องหนึ่ง
“ท่านลูกค้า ห้องข้างหน้านี้ขอรับ” เสมียนประสานมือคำนับบุรุษวัยกลางคนชุดเทาแล้วไม่รั้งอยู่ต่อ หมุนตัวจากไป
บุรุษวัยกลางคนชุดเทาเห็นเสมียนจากไปไกลแล้วก็ดึงสายตากลับมา ปล่อยจิตสัมผัสสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปยังห้องพักตรงหน้า
คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง
ตอนนี้ผ่านไปแล้วสองปีเต็มหลังจากได้พบกับชิงหลิงที่ป่าผลึกหมึก
สองปีนี้เขาฝึกฝนไปพร้อมกับสืบหาข้อมูลสุสานราชายมโลกจากทั่วทุกแห่ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาน้อยนิดยิ่งนัก
ทว่าสองเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เขาบังเอิญได้รับรู้การมีอยู่ของ “ต้งหาว” กลุ่มอำนาจอันลึกลับอย่างยิ่งกลุ่มหนึ่งของยมโลก
เล่าลือกันกว่า “ต้งหาว” ทำตัวลึกลับยิ่งนัก พวกเขามีขุมกำลังกระจายอยู่ทั่วเมืองใหญ่ทุกแห่งของยมโลกและรับทำงานลับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซื้อขายสิ่งหายากล้ำค่านานาชนิด แลกเปลี่ยนข่าวสารหรือแม้กระทั่งงานลอบสังหาร
สรุปได้ว่าขอเพียงจ่ายราคาสูงลิบลิ่วไหว กลุ่มอำนาจแห่งนี้ก็ไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่มีข่าวที่สืบไม่ได้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากลุ่มอำนาจต้งหาวแข็งแกร่งมากเพียงไร มีเพียงคำเล่าลือว่าเจ้าเมืองส่วนใหญ่ในยมโลกล้วนติดต่อกับพวกเขา แม้แต่ราชายมโลกบางตนก็ไม่เว้น ไม่เคยเข้ามายุ่งกับการทำงานแต่ละอย่างของพวกเขาในเขตแดนของตน
หลังจากหลิ่วหมิงรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มอำนาจแห่งนี้ย่อมยินดีอย่างยิ่ง แต่อยากจะติดต่อกับกลุ่มอำนาจแห่งนี้และเข้าร่วมงานชุมนุมต้งหาวที่พวกเขาจัด จำต้องได้ตรามาถึงจะเข้าร่วมได้
หลิ่วหมิงเหลือบมองป้ายหยกสีเทาที่เอว หางตาพลันกระตุกนิดๆ เพื่อได้ของสิ่งนี้มา เขาต้องเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อย จนวันนี้ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่เล็กน้อย
เขาส่ายศีรษะ สงบจิตใจแล้วก้าวไปข้างหน้า เคาะประตูห้องสองครั้ง
“เข้ามาเถอะ” ในห้องมีเสียงค่อนข้างแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นทันที
“แกรก” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง ประตูไม้ก็เปิดออก หลิ่วหมิงยกเท้าก้าวเข้าไปในห้อง
ห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายอย่างยิ่งห้องหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า มีโต๊ะไม้แดงเพียงตัวเดียว ด้านหลังโต๊ะมีผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินหน้าตามีเมตตาตนหนึ่งนั่งสง่าอยู่ ทว่าใบหน้าไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย แลดูประหลาดอยู่บ้าง
ด้านข้างของห้องมีฉากกั้นสลักลายดอกไม้ขนาดใหญ่โตอยู่บานหนึ่ง ด้านบนเหมือนจะวางชั้นจำกัดบางอย่างที่ทอแสงหม่นหมองจางๆ
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสบนร่างผู้เฒ่าชุดน้ำเงิน ลมปราณของคนผู้นี้ลึกล้ำแต่เก็บงำเอาไว้ เป็นถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย
“ท่านมาเข้าร่วมงานชุมนุมต้งหาวครั้งนี้หรือ” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินถามอย่างเฉยเมย
“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงดึงหยกที่เอวออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วส่งให้อีกฝ่าย
ผู้เฒ่ายื่นแขนผอมแห้งข้างหนึ่งมารับป้ายหยกไป สายตากวาดบนป้ายหยก ในดวงตามีแสงสีขาวอ่อนจางแผ่ออกมา จากนั้นจึงพยักหน้าส่งป้ายหยกคืนให้หลิ่วหมิง
“ไม่มีปัญหา สหายเชิญเข้าไปเถิด” ผู้เฒ่าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีกครั้งแล้วยกป้ายคำสั่งขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมาแกว่งเบาๆ แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งพรวดออกไปต้องฉากกันลมด้านในห้อง
ผิวของฉากกันลมมีแสงจิตวิญญาณเคลื่อนไหว เผยให้เห็นทางเชื่อมรูปวงกลมไม่ยาวเส้นหนึ่ง ซึ่งอีกด้านหนึ่งเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ทอแสงระยิบระยับ
“ด้านในคือทางเชื่อมไปยังสถานที่จัดงานชุมนุมต้งหาวครั้งนี้” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเห็นหลิ่วหมิงท่าทางลังเลเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
หลิ่วหมิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบหน้ากากผีอันหนึ่งออกมาสวม สิ่งนี้เป็นอาวุธยมโลกชิ้นหนึ่งที่เขาพบในอาวุธเก็บของของผู้เฒ่าชุดน้ำเงิน มันมีคุณสมบัติปิดกั้นจิตสัมผัส วันนี้ได้ใช้พอดี
หลังสวมหน้ากากเรียบร้อย ร่างกายของเขาก็พุ่งวูบเดียวทะลุทางเชื่อมไปยืนอยู่บนค่ายกลเคลื่อนย้ายด้านใน
แสงของค่ายกลเคลื่อนย้ายสั่นไหวพักหนึ่ง ร่างกายของเขาก็พลันหายไป
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือนวูบหนึ่ง เมื่อแสงสว่างสลายลง เขาก็ปรากฏตัวในถ้ำขนาดเกือบร้อยจั้งแห่งหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับท่านสู่งานชุมนุมต้งหาวแห่งแดนวารีมืด” เสียงสตรีใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
สตรีเผ่ายมโลกผู้ปิดบังใบหน้าและสวมอาภรณ์ตัวยาวสีดำขาวตนหนึ่งยืนอยู่ข้างค่ายกลเคลื่อนย้าย
หลิ่วหมิงพยักหน้าหลังจากนั้นกวาดสายตามองไปรอบด้าน
ไกลออกไปด้านในถ้ำมีบันไดขึ้นไปยังแท่นราบเรียบหลายสิบอัน บนแท่นเรียบแต่ละอันล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กำลังทอแสงระยิบระยิบน้อยๆ อยู่ค่ายกลหนึ่ง
ด้านข้างค่ายกลแต่ละค่ายกลมีป้ายสลักป้ายหนึ่งตั้งอยู่ บนนั้นระบุชื่อเมืองแต่ละแห่งเอาไว้ ด้านข้างมีเผ่ายมโลกที่ปิดบังใบหน้า สวมชุดสีขาวดำยืนอยู่แท่นละหนึ่งตน
“เมืองเหลิ่งเยวี่ย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา