หลังจากหลิ่วหมิงออกจากเหลาสุราก็ตรงมายังตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองชิงเยวี่ย
เมืองไม่น้อยในยมโลกล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเชื่อมถึงกันอยู่ เผ่ายมโลกที่เดินทางเพียงลำพัง บางครั้งเพื่อประหยัดเวลาหรือเมื่อคิดถึงความปลอดภัยก็จะเลือกเดินทางไปมาสถานที่ต่างๆ ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย
หลิ่วหมิงเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายหลายครั้งติดต่อกันจนมาถึงเมืองที่ค่อนข้างคึกคักแห่งหนึ่ง เขาเดินผ่านตรอกซอกซอยหลายสายอย่างชำนาญทางจนมาถึงเรือนหลังน้อยที่สะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง
ที่นี่ก็คือที่พำนักชั่วคราวที่เขาเช่าไว้
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิบนเบาะกลมใบหนึ่งในห้องลับของเรือนน้อย ใบหน้าเผยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
การพบกับอินหลิวผู้นั้นนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง แต่คนผู้นี้อย่างไรก็มีส่วนที่ลึกลับอยู่ แท้จริงเขามาดหมายสิ่งใดยังไม่รู้ อย่างไรก็ต้องระวังเขาให้มากเป็นพิเศษ
หลังจากครุ่นคิดได้พักหนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกคัมภีร์หยกที่ทอแสงสีขาวหม่นเล่มหนึ่งออกมาแนบกับหน้าผาก แทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ตอนอยู่ในต้งหาวเขาเพียงสำรวจดูเนื้อหาในคัมภีร์หยกคร่าวๆ เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้นัดกับอินหลิวสามเดือนให้หลังไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็พอดีได้ศึกษาเนื้อหาด้านในนี้ได้ละเอียดอีกสักหน่อยและได้เตรียมตัวเพิ่มสักเล็กน้อย…
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างว่องไว
เช้าตรู่วันนี้ นอกเมืองไท่เจินของแดนวารีมืดมีลำแสงสองสายเหาะเร็วรี่บนท้องฟ้าจากไปไกล
ในลำแสงมองเห็นบุรุษวัยกลางคนชุดเทาตนหนึ่งกับชายหนุ่มชุดขาวตนหนึ่งได้เลือนราง พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับอินหลิวสองตนนั่นเอง
เมืองไท่เจินตั้งอยู่ทางเหนือของแดนวารีมืดติดกับแดนตัณหามืด ระหว่างสองดินแดนคือเทือกเขาที่แผ่กว้างไร้ที่สิ้นสุด เล่าลือกันว่าสุสานราชายมโลกสุดแสนอันตรายตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้
หลังจากเหาะมาทั้งวัน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง ปราณยมโลกที่อัดแน่นอยู่ในอากาศยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีแสงคุ้มกายกั้นอยู่ หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้ชัดเจนถึงลมปราณหนาวเย็นที่จู่โจมเข้ามาเป็นระยะ
“ที่นี่ห่างจากสุสานราชายมโลกไม่ไกลแล้ว ข้ามเทือกเขาเป้าเฟิงด้านหน้าไปก็น่าจะมองเห็นคลื่นความเย็นแล้ว” อินหลิวกวาดสายตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงยหน้ามองออกไปสุดสายตา แล้วพบว่าไกลออกไปมีเทือกเขาสีดำทอดยาวสลับสูงต่ำเป็นคลื่นอยู่เบื้องหน้า แทบจะบดบังท้องนภาไปครึ่งหนึ่ง
เขาหลับตาลงเบาๆ สัมผัสปราณหยินที่ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในอากาศรอบด้านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้นร่างกายของทั้งสองคนก็หยุดอยู่หน้า “เทือกเขาเป้าเฟิง” ที่อินหลิวเอ่ยถึง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจความหมายของชื่อเทือกเขาแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง
เทือกเขาที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภูเขาหินสีดำโล่งเตียน ไม่อาจหาต้นหญ้าต้นไม้พบแม้แต่นิด
ลมพายุมืดสีดำที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพัดผ่านตัวภูเขาเสียงดังหวีดหวิวเกิดเสียงคล้ายภูตผีโหยหวน ภายในลมพายุมืดมีไอเย็นเสียดแทงกระดูกอยู่ คนธรรมดามาถึงที่นี่เกรงว่าไม่ถึงชั่วครู่ก็คงถูกแช่แข็งกลายเป็นแท่งน้ำแข็ง
แต่พวกหลิ่วหมิงย่อมเตรียมตัวมาก่อนแล้ว
หลิ่วหมิงกางสองแขนออก ปราณดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนร่างกลายเป็นเกราะป้องกันสีดำชั้นหนึ่งล้อมตนเองไว้ด้านในทันที ส่วนอินหลิวไม่รู้หยิบอาภรณ์ตัวยาวสีทองชุดหนึ่งจากที่ใดมาห่มคลุมกายเอาไว้ คลื่นความร้อนที่มองไม่เห็นระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ออกมาจากอาภรณ์ตัวยาวทันที
หลิ่วหมิงสัมผัสสายลมเย็นรอบด้าน ในดวงตามีประกายประหลาดวูบไหว ตรงนี้ยังไม่ทันถึงเขตคลื่นความเย็นก็มีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว หากไปถึงที่นั่นไม่รู้จะมีสภาพเป็นเช่นไร
“สหายอิน เส้นทางลับเส้นนั้นที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้อยู่ที่ใด?” เขาหันไปมองอินหลิวแล้วถามขึ้นมาเช่นนี้
อินหลิวได้ยินก็ไม่พูดพร่ำ หยิบคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งออกมาแนบหน้าผากพร้อมกับหลับตาลง
“ตามข้ามา ไปทางนี้” ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เขาก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วเก็บคัมภีร์หยกไป จากนั้นเอ่ยเรียกหลิ่วหมิงมุ่งหน้าไปทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงสายตาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะกระตุ้นลำแสงติดตามไป
ยิ่งเหาะลึกเข้าไปในเทือกเขา กระแสลมกลางท้องฟ้าก็ยิ่งแรง ในที่สุดหลังจากข้ามเทือกเขาลูกหนึ่ง หลิ่วหมิงก็เห็นหน้าตาของคลื่นความเย็น
กลางท้องนภาเบื้องหน้าเต็มไปด้วยไอหมอกสีดำจากผืนดินจรดผืนฟ้า กระแสลมกรรโชกสีดำสายแล้วสายเล่าโหมกระหน่ำพัดดังหวีดหวิวแทบหารูปแบบไม่พบ
ทอดสายตามองจากไกลๆ ราวกับพายุทรายสีดำขนาดมหึมาลูกหนึ่งขวางอยู่เบื้องหน้าทั้งสอง
ลมปราณหนาวเย็นที่เดิมทีก็เสียดแทงกระดูกอยู่แล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ยิ่งหนักหนากว่าเดิมสิบเท่า แม้ร่างกายของหลิ่วหมิงจะแข็งแกร่งก็ยังรู้สึกชาอยู่เลือนราง
“นี่ก็คือคลื่นความเย็นสินะ…” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองในใจ
ต้องรู้ว่าคลื่นความเย็นตรงหน้านี้อยู่ในช่วงที่อ่อนแรงแล้ว เขายังไม่ทันเข้าไปจริงๆ ยังรู้สึกเช่นนี้ คิดดูก็รู้ว่าหากเข้าไปผ่านเส้นทางอื่น โอกาสน้อยนิดเพียงไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองอินหลิว
ตอนนี้อาภรณ์สีทองตัวยาวบนร่างของอินหลิวแผ่แสงสีทองแสบตาออกมา สีหน้าเขาดูแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทันใดนั้นร่างกายเขาก็ขยับเหาะไปจุดหนึ่งทางฝั่งซ้าย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงบังคับพลังเวทในร่างถ่ายเทเข้าไปในเกราะปราณสีดำรอบตัว แล้วกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งตามไปติดๆ
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ทั้งสองก็มาถึงหน้าหุบเขาแคบยาวที่ซ่อนเร้นอยู่แห่งหนึ่ง
“ดูจากเครื่องหมายบนแผนที่ เส้นทางน่าจะอยู่ตรงนี้” อินหลิวตาเป็นประกายเอ่ยขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา