ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1102

พื้นที่รอบนอกก่อนเข้าไปยังสุสานราชายมโลกมีหลายเขต เนินเศษศิลาแห่งนี้เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าผ่านง่ายที่สุด ดังนั้นพวกหลิ่วหมิงสองคนจึงเลือกเข้าสุสานราชายมโลกจากที่นี่

แม้เป็นเช่นนั้นแต่ทันทีที่ทั้งสองคนเหยียบย่างเข้ามาในเนินเศษศิลา หลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ว่าใต้ฝ่าเท้าหนักอึ้ง พลังเวทในร่างไหลรั่วราวกับถูกระบายออก สองตามืดดับ ทั้งร่างร่วงจากท้องฟ้าอย่างเร็วไว

ยังดีที่เขาตั้งสติเรียกพลังจิตจากหนอนพลังจิตออกมาใช้ในพริบตา ดวงตาทั้งสองจึงฟื้นกลับเป็นปกติ ก่อนจะร่อนลงบนเนินเศษศิลา

ยามนั้นสภาพของอินหลิวก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทราบเขาใช้วิธีใด หลังจากพลิกกายกลางอากาศครั้งหนึ่ง ความเร็วที่ร่างกายร่วงลงมาก็ลดลงอย่างฉับพลันแล้วร่อนลงบนเศษศิลากองหนึ่งอย่างเชื่องช้า

“ที่แห่งนี้มีชั้นจำกัดผนึกนภาอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ระยะทางที่เหลืออีกหลายร้อยลี้คงจะต้องเดินทางนับเดือน” หลิ่วหมิงเหยียบเศษศิลาเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม

“หากเพียงเท่านั้นก็ช่างเถิด แต่ด้านหน้ายังมีชั้นจำกัดประหลาดพิสดารอีกไม่น้อย เจ้ากับข้าต้องเตรียมใจให้พร้อม” อินหลิวพยักหน้าแล้วเอ่ยเช่นนี้

ในตอนนี้เอง “ฮู่” สายลมหนาวก็พัดกรรโชกมาล้อมทั้งสองคนไว้ในพริบตา

เศษศิลาจำนวนมากดีดเข้าใส่ร่างกายของทั้งสองเสียงดังเปรี้ยงปร้างประหนึ่งห่ากระสุน

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงส่งผ่านมาจากทั่วร่าง เขารีบโคจรพลังเวทในตัว ไอหมอกสีดำทะลักจากทั้งร่างล้อมตนเองเอาไว้ ในที่สุดจึงขวางเศษหินมืดฟ้ามัวดินแล้วเดินหน้าต่อได้

อึดใจต่อมาเขากลับพบพลังเวทที่ตนเองใช้อยู่มีเวลานี้เพียงสองหรือสามส่วนจากยามพลังสูงสุดเท่านั้น ในใจอดไม่ได้ยิ้มฝืดเฝื่อน

เข้ามาในเขตรอบนอกของสุสานราชายมโลกก็ถูกผลกระทบจากชั้นจำกัดมากมายเช่นนี้แล้ว เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเผ่ายมโลกมากมายเช่นนั้นมาแล้วไม่ได้กลับ

อีกด้านหนึ่งของสายลมหนาว ไอหมอกสีเทาขยับไหวไม่หยุด เสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างดังขึ้นไม่ขาด

เทียบกับหลิ่วหมิงผู้เป็นเผ่ามนุษย์และมีร่างกายแข็งแกร่ง อินหลิวผู้มีร่างกายบอบบางกว่าเวลานี้อเนจอนาถอย่างยิ่ง เศษหินแต่ละก้อนกระทบบนกายเนื้ออ่อนแอของเขาล้วนเท่ากับการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งหนึ่ง

ยังดีที่เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบเรียกกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นจิตกระบี่มหึมาสายหนึ่งพลันกวาดออกมาจากร่าง ม่านกระบี่สีดำถี่ยิบบดบังร่างกายเขาไว้ข้างใต้

ทันทีที่เศษหินเต็มฟ้าสัมผัสถูกม่านกระบี่ก็เกิดเสียงระเบิดทุ้มต่ำดังระรัว จากนั้นพวกมันจึงกลายเป็นฝุ่นลอยหายไป

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าสายลมหนาวจะสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงกับอินหลิว

หลิ่วหมิงสีหน้าดูเป็นปกติ แต่เสื้อผ้าสีเทาบนร่างขาดวิ่นไม่เหลือดี

ส่วนอินหลิวหอบหายใจหนักๆ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย สภาพเหมือนใช้พลังเวทเกินขนาดไปบ้าง

“สหายอิน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร กายเนื้อเป็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของพวกเราเผ่ายมโลก การโจมตีระดับนั้นเมื่อครู่หากถูกโจมตีโดนทั้งหมดคงบาดเจ็บไม่น้อย จะว่าไปพี่อิ่นกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้ผิดคาดยิ่งนัก แต่ยิ่งเข้าใกล้สุสานราชายมโลก ชั้นจำกัดก็ยิ่งร้ายกาจ พี่อิ่นระวังให้มากหน่อยดีกว่า” อินหลิวถอนหายใจยาว แววตาวูบไหวเอ่ยขึ้นมา

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาได้ฝึกวิชาลับฝึกฝนร่างพิเศษบางอย่างมาจริงๆ ดังนั้นกายเนื้อจึงพอฝืนผ่านมาได้ แต่วิชาขี่กระบี่ของพี่อินหลิวล้ำเลิศนัก ทำให้ผู้แซ่อิ่นเปิดหูเปิดตาแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างคลุมเครือ แล้วเปลี่ยนประเด็นทันที

“วิชากระบี่เท่านี้ของข้านับเป็นอะไรได้ สถานที่แห่งนี้ไม่สมควรอยู่นาน พวกเรารีบเร่งเดินทางเถิด” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ หลังจากนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งกวักอากาศ ไอหมอกสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากแขนเสื้อแล้วเลื้อยพันอยู่ตรงเท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกลายเป็นรองเท้าจิตวิญญาณสีเขียวเข้มคู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบโอสถสีดำขลับเม็ดหนึ่งออกมากิน

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าที่ซีดเผือดอยู่บ้างของอินหลิวก็ฟื้นกลับมาดังเดิม

หลิ่วหมิงพลิกมือปัดฝุ่นบนร่างแล้วเดินหน้าต่อ

อินหลิวมีรองเท้าจิตวิญญาณช่วยเสริม ใต้เท้าดั่งมีสายลมช่วยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ส่วนหลิ่วหมิงเองก็ใช้วิชาตัวเบา ก้าวเท้าเร็วประหนึ่งเหาะ มุ่งหน้าเคียงคู่ไปกับอินหลิว

เกือบครึ่งวันหลังจากนั้นทั้งสองคนก็พบการจู่โจมจากสายลมหนาวอีกเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดก็ฟันฝ่าขวากหนามเดินทางผ่านเนินเศษศิลามาได้

หลังจากข้ามพ้นเนินเขาเตี้ยที่ทอดต่อกันเป็นแนวก็มาถึงหน้าป่าทึบสีโลหิตอันหนาทึบผืนนั้นที่เห็นก่อนหน้านี้

ทว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากที่คิด ด้านในป่าทึบผืนนี้กลับแผ่ลมปราณหนาวเย็นสายหนึ่งออกมา ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นแล้วต้นเล่างอกจากพื้นดินเรียงรายเป็นระเบียบ แลดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง

ลำต้นของต้นไม้โบราณเหล่านี้เป็นสีน้ำตาลหม่น ตรงรากมีเถาวัลย์คดเคี้ยวสีดำเลื้อยพันอยู่ กิ่งก้านสาขาแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด บนกิ่งมีใบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือสีเลือดใบแล้วใบเล่าเกาะกลุ่มเต็มไปหมด

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเห็นแต่สีเลือด มองไม่เห็นท้องฟ้าหรือดวงตะวันแม้แต่น้อย

“ที่นี่คือ ‘ป่าวงกตใบไม้เลือด’ เล่ากันว่าหากเดินเลี้ยวขวาทุกครั้งที่พบทางแยกก็จะออกจากป่าทึบผืนนี้ได้อย่างราบรื่น แต่ไม่เคยมีการพิสูจน์มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” อินหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง

“ผู้ที่ขายข้อมูลนี้ก็คงเป็นผู้ที่รอดออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ แต่เพื่อรับรองความปลอดภัย อย่างไรก็สำรวจสักหน่อยก่อนค่อยว่ากันดีกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรอยู่

“พี่อิ่นพูดมีเหตุผล ระวังสักหน่อยย่อมดี”

อินหลิวพยักหน้าพลางตบถุงผ้าข้างเอวเบาๆ ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมากลายเป็นวานรสูงหนึ่งฉื่อกว่าตัวหนึ่งที่มีขนยาวสีดำทั้งตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา