ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1103

สรุปบท ตอนที่ 1103 มุสิกเพลิงพิภพ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 1103 มุสิกเพลิงพิภพ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1103 มุสิกเพลิงพิภพ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

โดยทั่วไปแล้วเผ่ายมโลกและภูตผีหากพบแสงธาตุหยางเข้มข้นเช่นนี้ย่อมหลบเลี่ยงแทบไม่ทัน

ดังนั้นค่ายกลตะวันระอุซึ่งเป็นมหาค่ายกลธาตุร้อนที่แข็งแกร่งที่สุดจะข่มเผ่ายมโลกเพียงใด คิดดูก็รู้

มิน่าอินหลิวจึงเหมือนจะตกใจอย่างยิ่ง

“ขอบคุณพี่อินที่เอ่ยปากเตือน ค่ายกลนี้ดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ เพียงสัมผัสเล็กน้อยหนังเกินกว่าครึ่งก็ลอกหายไปเสียแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับรั้งแขนกลับมา ปราณดำกลุ่มหนึ่งวนเวียนรอบผิวที่ไหม้บนแขนเล็กน้อย ผิวหนังก็สมานเร็วไวชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน ต้องผ่านแผ่นดินรกร้างผืนนี้ไปให้เร็วที่สุด โชคดีที่ดวงตะวันทั้งสิบดวงนี้อยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ยังมีช่องว่างเหลืออยู่มากมาย” อินหลิวเอ่ยเตือนจบก็ล้วงลูกแก้วกลมที่ทอแสงสีฟ้าหม่นลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อแล้วบีบเบาๆ

“ฟู่!” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น

ผิวลูกแก้วเปล่งแสงสีฟ้าวูบหนึ่ง ทันใดนั้นเงาเลือนรางของปลาหลีสีฟ้าใสขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาส่ายหัวสะบัดหาง แล้วพ่นน้ำผืนใหญ่ออกจากปากล้อมอินหลิวเอาไว้ด้านใน

ร่างกายของอินหลิวบิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นเงาเลือนรางของปลาหลีก็สะบัดครีบสองข้างประหนึ่งเล่นน้ำกลายเป็นเงาสีฟ้าเรียวยาวสายหนึ่งพาอินหลิวพุ่งไปด้านหน้าดังฟุบ

ทันทีที่แสงสีทองทั่วผืนฟ้าร่วงต้องเงาน้ำสีฟ้า สายน้ำก็ระเหยกลายเป็นหมอกควันลอยคดเคี้ยว แต่ปลาหลีพ่นน้ำออกจากปากไม่หยุดจึงคงสภาพสมดุลไม่เพิ่มไม่ลดเอาไว้ได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สองมือก็ใช้เคล็ดวิชา หมอกสีดำทะลักออกมาจากทั่วร่างม้วนอยู่รอบกาย พริบตาเดียวกลายเป็นเกราะหมอกสีดำสนิทดั่งหมึกชั้นหนึ่งป้องกันทั้งตัวจากหัวจรดเท้าไว้แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจลอดผ่าน

หลังจากนั้นสองเท้าของเขาพลันกระทืบพื้นกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งตามหลังเงาปลาหลีสีฟ้าใสไปติดๆ

พริบตาที่หลิ่วหมิงเข้าไปในทะเลทรายรกร้าง ทั่วทั้งร่างพลันร้อนผ่าว ปราณสีดำบนร่างตั้งแต่บนจรดล่างส่งเสียงดังชี่ละลายหายไปไม่หยุด ทว่าเขาโคจรพลังเวทถ่ายเทเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เกราะป้องกันจึงยังปลอดภัยอยู่ชั่วคราว

ทั้งสองคนเหาะไล่ตามหลังกันมาไม่ถึงสิบกว่าลี้ ฝั่งตรงข้ามก็พลันมีคลื่นความร้อนลูกหนึ่งเข้าจู่โจม แสงสีทองบนท้องฟ้าทอประกายระยิบระยับ แสงสีทองเรืองรองแถบใหญ่สาดลงมาจากดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวงเหนือศีรษะอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ในเวลาเดียวกันดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวงก็เริ่มเคลื่อนไหวแปลกประหลาด พวกมันค่อยๆ เรียงตัวเป็นรูปวงแหวนแล้วเคลื่อนวนอย่างเชื่องช้า

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความร้อนทั่วร่างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งร่างถูกแสงเรืองรองสีทองล้อมไว้อย่างแน่นหนาแม้แต่สายลมก็ไม่อาจผ่าน ไอหมอกสีดำบนร่างสลายเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน

สภาพของอินหลิวที่อยู่ด้านหน้าเหมือนจะย่ำแย่ยิ่งกว่า

ทันทีที่แสงเรืองรองสีทองสาดลงมา น้ำที่ล้อมรอบตัวอินหลิวก็ระเหยเร็วกว่าเดิมมากจนเหมือนจะเดือดอยู่เลือนราง เงาปลาหลีสีฟ้าเริ่มมีรูขนาดเท่ากำปั้นปรากฏทีละรู เงาปลาหลีหดเล็กลงเรื่อยๆ สีหน้าของอินหลิวก็แย่ลงเล็กน้อย

“แย่แล้ว คิดไม่ถึงว่าผู้ที่วางค่ายกลจะฝีมือสูงส่งเช่นนี้จนทำให้ค่ายกลตะวันระอุแสดงฤทธิ์ถึงขั้นนี้ได้…มาถึงตอนนี้ทำได้แค่คิดหาวิธีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้ว!”

อินหลิวส่งกระแสจิตหาหลิ่วหมิงประโยคหนึ่ง ดวงตาก็ทอแสงเจิดจ้า แสงสีฟ้าทั่วร่างไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของเงาปลาหลีก็เข้มขึ้นหลายส่วน

“ฟู่” ประกายสีฟ้าเต้นระริกพุ่งออกมาเร็วจี๋กว่าเดิมจนฝืนต้านแสงสีทองเอาไว้ได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงพลิกฝ่ามือเรียกโอสถฟื้นฟูพลังเวทเม็ดหนึ่งออกมากิน ปราณสีดำพวยพุ่งทั่วร่าง จากนั้นร่างกายก็พร่าเลือนพุ่งไปด้านหน้า

แม้แสงสีทองของค่ายกลตะวันระอุนี้จะร้ายกาจและทำอันตรายเผ่ายมโลกได้รุนแรงยิ่งนัก แต่หลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับแก่นแท้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง มันย่อมสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาไม่ได้ นอกจากผลาญพลังเวทในร่างเขาไปจำนวนมากก็ทำได้เพียงเผาผิวบนร่างเขาเล็กน้อยเท่านั้น

ความเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านี้สำหรับหลิ่วหมิงแล้วไม่มีค่าให้หวาดกลัวสักนิด

แน่นอนว่าความร้ายกาจของค่ายกลตะวันระอุไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เมื่อพวกหลิ่วหมิงสองคนเดินทางมาถึงใจกลางทะเลทรายรกร้าง ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองเหนือศีรษะก็พลันสาดแสงสีทองอย่างบ้าคลั่ง

ดวงตะวันแต่ละดวงเกิดคลื่นสีทองกระเพื่อมจากขอบด้านนอก จากนั้นแสงสีทองก็เริ่มรวมตัวกันกลางท้องฟ้ากลายเป็นเปลวเพลิงหลายชั้นลอยละล่อง

ดวงตะวันเจิดจ้าสิบดวงกลายเป็นเปลวเพลิงขนาดร้อยจั้งสิบดวงเคลื่อนวนอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้าในพริบตา

“แกว้กๆ” เสียงวิหคกรีดร้องดังระงม เปลวเพลิงสีทองทยอยระเบิดก่อนจะกลายเป็นวิหคยักษ์สีทองขนาดสิบกว่าจั้งตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมาจากด้านในแล้วกางปีกสองข้าง แหงนคอกรีดร้องไม่หยุด

“แย่แล้ว เงาอีกาทองคำ หนีเร็ว!” อินหลิวเงยหน้ามองไวๆ ครั้งหนึ่งแล้วเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขารีบตะโกนบอกหลิ่วหมิงเสียงดัง

เพิ่งเอ่ยจบ เสียงหวีดแหลมก็ดังขึ้น แสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า วิหคยักษ์สีทองตัวหนึ่งอ้าปากจิกหลังปลาหลีสีฟ้าที่อินหลิวสร้าง

เปลวเพลิงบนร่างวิหคยักษ์สีทองลุกโหมม้วนเป็นเกลียวกลืนเงาปลาหลีทั้งตัวเข้าไปทันที

ที่สำคัญก็คืออสูรตัวนี้ไม่ถือกำเนิดในยมโลก ไม่รู้ว่าอินหลิวผู้นี้ไปได้หนังของมันมาจากที่ใด

มุสิกที่อินหลิวเสกออกมาตัวนี้ขนาดไม่ต่างจากร่างเดิมของมันนัก ขนสีน้ำตาลทั่วร่างหยาบหนาไม่ธรรมดา กรงเล็บแหลมทั้งคู่ก็คมกริบยิ่งนัก ทว่าท่าทางงุ่มง่ามอย่างยิ่ง

หากหลิ่วหมิงไม่ได้เห็นทั้งหมดนี้กับตา เขาคงไม่มีทางเชื่อว่ามุสิกเพลิงพิภพตัวนี้เป็นสิ่งที่ถูกเสกขึ้นมา

มุสิกตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นก็ไม่พูดพร่ำมุดลงไปใต้ทะเลทรายรกร้างจนเกิดเนินดินน้อยลูกหนึ่งทันที แล้วมุ่งไปด้านหน้าอย่างเร็วไว

วิหคยักษ์สีทองหกเจ็ดตัวที่เหลือย่อมไม่ยอมเลิกราเท่านี้ พวกมันกระพือปีกสองข้างพัดแสงสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าใส่เนินดินน้อย ก่อนจะดิ่งลงไปใต้ดินโดยไม่สนใจดินทราย แต่ความเร็วย่อมเชื่องช้าลงมากอย่างเลี่ยงไม่ได้

แม้จะเห็นมุสิกเพลิงพิภพท่าทางงุ่มง่าม แต่เมื่ออยู่ใต้ดินการเคลื่อนไหวกลับเร็วปานสายฟ้า มันเลี้ยวเปลี่ยนทางท่ามกลางดินโคลน หลบหลีกแสงสีทองสายแล้วสายเล่าประหนึ่งภูตผี

เทียบกับวิชาลับประหลาดของอินหลิว การใช้กายเนื้อฝืนต้านเปลวเพลิงเช่นนี้ของหลิ่วหมิงกลับและดูโง่เง่ายิ่งนัก

ยังดีที่เวลานี้ทั้งสองคนผ่านผืนดินรกร้างมาได้เกินครึ่งแล้ว หลังจากนั้นราวจิบชาหนึ่งถ้วย ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกจากอาณาเขตของค่ายกลตะวันระอุได้อย่างราบรื่น

หลังจากพวกเขาพ้นจากแผ่นดินรกร้าง วิหคยักษ์สีทองสิบตัวนั้นก็ไม่ไล่ตามต่อแต่ส่งเสียงกรีดร้องแล้วกลับเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินรกร้างอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนี้ มุสิกเพลิงพิภพที่เป็นร่างจำแลงของอินหลิวจึงมุดออกจากใต้ดิน แสงสีน้ำตาลสว่างทั่วร่างก่อนจะกลับคืนสู่หน้าตาดั้งเดิมของตน

หลิ่วหมิงสะบัดร่างเบาๆ ปราณดำทั่วร่างก็ม้วนเป็นเกลียวสลายไปพร้อมกับกระแทกเปลวเพลิงสีทองที่เหลือเหล่านั้นบนร่างให้สลายไปจนหมดด้วย

“วิชาลับของสหายอินช่างลี้ลับ ผู้แซ่อิ่นนับถือจริงๆ” หลิ่วหมิงมองอินหลิวแล้วเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเหมือนรอยยิ้ม

“หึๆ แค่วิชาร่างจำแลงเท่านั้น ลูกไม้กระจอกเท่านี้จะเทียบกับพี่อิ่นได้อย่างไร กายเนื้อของพี่อิ่นต่างหากแข็งแกร่งจนต้านทานเพลิงทองคำทมิฬนี่ได้เนิ่นนานเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเป็นวิชามหัศจรรย์ชนิดใดหรือ” อินหลิวแค่นหัวเราะแล้วย้อนถามหลิ่วหมิงกลับ

“นี่เป็นวิชาลับกระตุ้นศักยภาพชนิดหนึ่งที่ข้ามีวาสนาบังเอิญได้มาเมื่อนานมาแล้ว เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้ในระยะเวลาสั้นๆ หากใช้นาน ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่อาจคาดคิด ครั้งนี้พ้นภัยมาได้อย่างราบรื่นก็อาศัยโชคอยู่หลายส่วน หากอยู่ในค่ายกลตะวันระอุนี้เพิ่มอีกชั่วครู่ชั่วยาม เกรงว่าข้าคงจะกลายเป็นตอตะโกแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบคำถามของเขาอย่างคลุมเครือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา