หากเป็นดังเช่นหลัวโหวกล่าวจริง “หลิ่วหมิง” ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ย่อมมีระดับพลังและความสามารถเหมือนกับตนทุกประการ
แม้ก่อนนี้เขาจะเคยจำลองศัตรูทุกคนที่เคยพบในดวงตามายา แต่กลับไม่เคยยืนอยู่ตรงข้ามกับ “ตนเอง” และต้องคิดหาทุกวิธีเพื่อล้ม “ตนเอง” เฉกเช่นวันนี้มาก่อน
อินหลิวที่อยู่ด้านข้างเห็นทุกสิ่งที่กระจกฉาย รวมถึง “หลิ่วหมิง” ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา แต่ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขามองดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทว่าเมื่อเขามองเห็นภาพบางอย่าง คิ้วก็ขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็ทำหน้าครุ่นคิด
หลิ่วหมิงไม่มีเวลาสนใจอินหลิวที่อยู่ด้านข้าง ความคิดกำลังแล่นเร็วจี๋ ใคร่ครวญถึงการโจมตีแต่ละอย่างที่ “ตนเอง” อาจจะโจมตีมารวมถึงวิธีรับมือที่เหมาะสม พร้อมกันนั้นในร่างก็ลอบรวบรวมพลังเวท หาก “ตนเอง” ที่อยู่เบื้องหน้าเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดก็จะส่งการโจมตีออกไปสยบอีกฝ่ายก่อนอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทว่า “หลิ่วหมิง” ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมองด้วยแววตาเหยียดหยัน ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนัก
ทั้งสองคนคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้
จนกระทั่งกระจกสีเทาเปล่งแสงอีกครั้ง ลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาล้อมร่างกายของอินหลิวเอาไว้
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว สมาธิส่วนใหญ่ยังคงจดจ่ออยู่กับตนเองอีกคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ปลายหางตาเหลือบมอง
ปรากฏว่าอินหลิวผู้นี้ไม่ได้พยายามหลบหลีกอย่างเสียเปล่าเช่นนั้นเหมือนหลิ่วหมิงเมื่อตอนแรก และไม่มีสีหน้าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้แสงสีเทาล้อมตนเองเอาไว้
อึดใจต่อมากระจกสีเทาตรงหน้าก็มีแสงเรืองรองเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็มีภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นมา นั่นย่อมเป็นเรื่องราวชีวิตของอินหลิว
หลิ่วหมิงมองเพียงชั่วแวบก็หันกลับมามองอินหลิว ใบหน้าเผยสีหน้าไม่ยากจะเชื่อ
อินหลิวกลับเพ่งมองภาพเหตุการณ์ในกระจกนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ในดวงตามีประกายประหลาดบางอย่างเลือนราง
ภาพที่ปรากฏขึ้นในกระจกคือหมู่เขาสูงตระหง่านที่ทอดยาวต่อกันแห่งหนึ่ง เมฆหมอกสีขาวลอยล่องเวียนวนอยู่รอบหมู่เขาที่ซ้อนสลับเป็นชั้นๆ บนยอดเขาเขียวชะอุ่นมีหออาคารและตำหนักอันหรูหราหลังแล้วหลังเล่าเห็นเด่นชัด
เห็นชัดยิ่งว่าเป็นสถานที่อันเยี่ยมยอดสำหรับการฝึกฝนสักแห่งบนโลกมนุษย์ที่ซึ่งปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินรวมตัวกันอยู่
ในลานกว้างของเรือนปลายหลังคาโค้งแห่งหนึ่งบนยอดเขาเขียวขจี เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาดวงตะวันอยู่บนหินเขียวก้อนยักษ์ เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างมีจังหวะ ฝึกฝนอย่างนิ่งสงบ
หน้าตาของเด็กหนุ่มชุดเทาคล้ายกับอินหลิวอยู่หลายส่วน หลิ่วหมิงผู้ล่วงรู้อิทธิฤทธิ์ของค่ายกลอนธการก่อเกิดอยู่แล้ว ในใจย่อมรู้กระจ่างว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คืออินหลิวในอดีต เขาก็เป็นเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงที่สุดก็คือเขาจิตวิญญาณแห่งนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก มันเหมือนกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ส่วนยอดเขาเขียวขจีที่เด็กหนุ่มชุดเทาอยู่ก็คือยอดเขาเมฆาเขียวที่เขาเคยไปเยือนครั้งหนึ่งตอนแรกเข้านิกายยอดบริสุทธิ์
เมื่ออินหลิวเห็นภาพเหล่านี้ตรงหน้า ในดวงตาก็มีแววตาหวนคะนึงปรากฏขึ้นเลือนราง แต่สีหน้าเขากลับนิ่งสงบคล้ายกำลังมองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง
หลิ่วหมิงฝืนกดความตกตะลึงในใจตนเองไว้แล้วมองดูต่อไป
ภาพในกระจกเปลี่ยนไปไม่หยุด เขามองดูภาพเด็กหนุ่มชุดเทาฝึกฝน เลื่อนระดับและฝึกปรือฝีมือภาพแล้วภาพเล่า ในใจหลิ่วหมิงยิ่งตกตะลึง เขายิ่งแน่ใจว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์ของยอดเขาเมฆาเขียวของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ผ่านไปไม่นานภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มชุดเทาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขากลายเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามที่ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักใหญ่สีทองอร่ามแห่งหนึ่ง
ข้างกายเขามีชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างกันยืนอยู่สิบกว่าคน แต่ละคนบรรยากาศไม่ธรรมดา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทุกคนกำลังจดจ่อสมาธิตั้งใจฟังผู้เฒ่าผมขาวใบหน้าเยาว์วัยที่ถือแส้นักพรตนั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขในห้องโถงเอ่ยอะไรบางอย่าง
เหนือศีรษะของผู้เฒ่ามีป้ายมหึมาแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ บนนั้นเขียนตัวอักษรแบบโบราณอันทรงพลังไว้สามตัวว่า “วังเจดีย์”
ด้านหลังผู้เฒ่ามีแท่นบูชาสี่เหลี่ยมผืนผ้าปูผ้าแพรต่วนสีเหลืองแท่นหนึ่ง บนแท่นมีโคมสำริดโบราณขนาดเล็กดวงแล้วดวงเล่ามากถึงสิบเจ็ดสิบแปดดวง โคมน้อยแต่ละดวงล้วนมีเปลวเพลิงขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่ดวงหนึ่ง สีสันแตกต่างกันไป
ต่อจากนั้นภาพก็เปลี่ยนผันอีกครั้ง หุบเขาสีเขียวหยกอันเขียวขจีลูกหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
ด้านในหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงสกุณาบุปผาบานสะพรั่ง เป็นทิวทัศน์ของแดนสวรรค์อันสงบสุขตัดขาดจากโลกภายนอก นอกจากกระท่อมฟางหยาบๆ ไม่กี่หลังกับสวนสมุนไพรไม่กี่หมู่ก็มีทะเลสาบสีฟ้าใสแห่งหนึ่ง ใจกลางทะเลสาบคือตาน้ำพุขนาดยักษ์ที่มีน้ำพุใสแจ๋วผุดออกมาไม่หยุด
ทะเลสาบเชื่อมกับธารน้ำสายหนึ่งซึ่งมีสะพานหินโค้ง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังยืนอิงแอบกัน พวกเขาดูเหมือนชายหญิงวัยเยาว์สองคนที่กำลังอยู่ในห้วงรัก
ชายหนุ่มใบหน้าขาวผ่องไร้หนวดเครา บนศีรษะปักปิ่นเงินยาวหลายชุ่นเล่มหนึ่ง อาภรณ์สีครามบนร่างพลิ้วไหวตามสายลม บนแผ่นหลังคือกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง หน้าตาองอาจยิ่งนัก ส่วนหญิงสาวสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ผมยาวจรดบั้นเอว หน้าตางดงามหมดจด เหมือนนกน้อยอิงแอบในอ้อมอกของชายหนุ่ม
เวลานี้เขากำลังชี้มือข้างหนึ่งไปที่น้ำพุใสใจกลางทะเลสาบและพูดบางอย่างด้วยท่าทางกระตือรือร้น ความตื่นเต้นยินดีล้นออกมาในคำพูดและสีหน้า ส่วนหญิงสาวก็เหมือนจะถูกเขาหยอกล้อจนอารมณ์ดีจึงปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด
เมื่ออินหลิวที่อยู่หน้ากระจกสีเทาเห็นภาพนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็เหม่อลอยเล็กน้อยอย่างหาได้ยากก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
แต่หลิ่วหมิงเห็นแล้วกลับมองตาค้าง หุบเขาน้อยสีเขียวหยกแห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่น แต่มันคือ “หุบเขาน้ำพุเงิน” ที่หลงเหยียนเฟยเคยพาเขาไปเยือน
ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสบางอย่างได้เลือนรางจึงรีบรั้งสายตากลับมามอง “ตนเอง” ที่อยู่ด้านหน้า เขาจับจ้องมันไม่ละสายตา ดวงตาทอประกายเลือนรางก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ
ผลปรากฏว่า “หลิ่วหมิง” ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวดุจเดียวกัน จากนั้นก็หยุดแล้วมองมาทางตน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็สบายใจขึ้นเล็กน้อยแล้วใช้หางตาเหลือบมองภาพบนกระจกสีเทาอีกครั้ง
ยามนี้บนบานกระจกฉายภาพการต่อสู้อันดุเดือดอย่างยิ่งฉากหนึ่ง ทิวทัศน์เบื้องหลังคือพื้นที่มืดสลัวที่มีหมอกสีเทาหม่นคล้ายจะเป็นถ้ำบางแห่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา