“เฟยเอ๋อร์ ในเมื่อนี่อาจเป็นโอกาส เจ้าก็อยู่ที่นี่ฝึกฝนเถอะ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ตัดสินใจ
“นายท่าน ข้าไม่อยากจากท่าน…”
เฟยเอ๋อร์ได้ยินก็ใช้มืออวบอ้วนสองข้างดึงแขนเสื้อของหลิ่วหมิงไว้พลางทำหน้าอาลัยอาวรณ์ทันที
“เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้พบกันอีกสักหน่อย เจ้าทำใจให้สงบฝึกฝนอยู่ที่นี่ วันหน้าข้าจะมายมโลกอีกครั้งพาเจ้าออกไป” ในใจหลิ่วหมิงอาลัยอาวรณ์อยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็เลื่อนแขนเสื้อออกเบาๆ แล้วดันเฟยเอ๋อร์ไปอย่างอ่อนโยน
น้ำตาแวววาวคลอหน่วงในดวงตาของเฟยเอ๋อร์ เขาอ้าปากอยากพูดอะไรอีกสักหน่อย ทันใดนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น!
เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นในหุบเขาสีดำสนิทที่อยู่ไกลออกไป ต่อจากนั้นแสงเรืองรองสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาถึงแล้วหอบร่างของเฟยเอ๋อร์ขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงรู้สึกตัวทันที แต่กลับไม่ลงมือขวาง
ดวงตาของอินหลิวเองฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยแล้วถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้
แสงสีขาวม้วนรอบร่างเฟยเอ๋อร์เสร็จก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วแหวกท้องฟ้ากลับไปในหุบเขา หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา
หลิ่วหมิงกับอินหลิวยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง พวกเขาต่างเงียบงันไร้วาจาไปชั่วขณะ
“ในเมื่ออสูรเลี้ยงตัวนี้ของเจ้าถูกเฟยจู่เรียกไปแล้ว พวกเราก็อย่าอยู่ที่นี่นานเลย” อินหลิวทำลายความเงียบเอ่ยนิ่งๆ ขึ้นก่อน
“ได้ ไม่ทราบว่าวิธีออกจากที่แห่งนี้ที่ผู้อาวุโสลิ่วยินเอ่ยถึงก่อนหน้านี้คือ…” หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ หลังจากพยักหน้านิดๆ จึงเปิดปากเอ่ยถาม
สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงอันเลวร้าย นอกจากเพราะยามเข้ามามีด่านยากเย็นมากมาย อีกประการหนึ่งก็เพราะสถานที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นดินแดนปิดตายที่มาแล้วหวนกลับไม่ได้
นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีออกไปอย่างสิ้นเชิง จากข้อมูลที่ต้งหาวให้มา ยังมีวิธีบางอย่างที่ทำให้ออกไปได้ เพียงแต่ไม่มีสักวิธีที่ไม่ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมากยิ่งกว่ายามเข้ามายังที่แห่งนี้
สิ่งนี้ย่อมทำเพื่อให้ผู้ที่ลอบเข้ามาในที่แห่งนี้เหล่านั้นถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งเป็น
“ยามที่ข้าเข้ามาที่นี่ครั้งแรกก็หวิดจะออกไปไม่ได้จริงๆ …แต่ครั้งนี้เตรียมตัวมาแล้ว” อินหลิวเอ่ยพลางยกแขนข้างหนึ่ง วงแหวนแสงสีดำวงหนึ่งหมุนอยู่กลางฝ่ามือของเขา พร้อมกับที่เขาท่องมนตร์
ระหว่างที่ท่องมนตร์ อินหลิวก็โยนวงแหวนแสงสีดำในมือไปเบื้องหน้า
“ฟู่!”
วงแหวนแสงสีดำโต้ลมขยายพรวดกลายเป็นวงล้อแสงสีดำขนาดสองสามจั้งวงหนึ่ง อักขระประหลาดตัวหนึ่งพุ่งออกจากปากอินหลิวแล่นหายไปด้านใน มันหมุนเพียงเล็กน้อย แสงเรืองรองบนผิวของวงล้อแสงพลันปั่นป่วนและส่งเสียงครวญแผ่วเบาออกมา
“เข้าไปในนี้จะหลบเลี่ยงชั้นจำกัดอื่นตรงเข้าไปในคลื่นความเย็นได้ แต่ตอนนี้ผ่านช่วงเวลาอ่อนแอที่สุดสิบปีครั้งมาแล้ว คลื่นความเย็นย่อมไม่เหมือนก่อนหน้านี้!”
อินหลิวเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วหยิบอาภรณ์ตัวยาวสีทองชุดหนึ่งออกมาห่ม จากนั้นหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งเหาะเข้าไปในวงล้อสีดำแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองวงล้อแสงสีดำ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็สูดลมหายใจลึกยาวเฮือกหนึ่ง จากนั้นร่างกายก็พุ่งตามเข้าไป
……
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เงาคนสีแดงกับสีทองสองสายก็เหาะเร็วจี๋ออกมาจากด้านในคลื่นความเย็นด้านนอกสุสานราชายมโลก เมื่อลำแสงสลายก็เผยให้เห็นร่างกายสองร่าง พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับอินหลิว
ทั้งสองดูสภาพสะบักสะบอมเล็กน้อย เสื้อผ้าขาดวิ่น หลิ่วหมิงสีหน้าซีดเผือดผิดปกติ บนร่างมีรอยเลือดประปราย
แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ สำหรับหลิ่วหมิงผู้ครอบครองโลหิตปีศาจสวรรค์แล้วย่อมไม่นับเป็นสิ่งใด
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” หลิ่วหมิงนึกหวาดกลัวตามหลังขณะที่หันกลับไปมองคลื่นความเย็นสีดำอันเกรี้ยวกราดสับสนด้านหลังร่าง ก่อนจะถอนหายใจยาว
หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในวงล้อมแสงไร้นามที่อินหลิวเรียกออกมา ก็เป็นเช่นที่อินหลิวกล่าวไว้ พวกเขาตรงเข้าไปในคลื่นความเย็นรอบนอกทันที ผลปรากฏว่าคลื่นความเย็นลูกนี้รุนแรงกว่ายามเข้ามาหลายเท่า อีกทั้งพายุหมุนความเย็นก็ปรากฏขึ้นถี่
โชคดีแต่เดิมทั้งสองก็ไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งเตรียมตัวล่วงหน้ามาแล้ว พวกเขาจึงผ่านครึ่งหนึ่งของเส้นทางมาได้อย่างปลอดภัย
ทว่าครึ่งหลังเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ทั้งสองคนพบภูตสายลมคำรามที่อาศัยอยู่ท่ามกลางกระแสลมหนาวฝูงใหญ่เข้า
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นสัตว์อสูรร่างวิญญาณชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในคลื่นลมหนาว มันไม่มีร่างจริง สติปัญญาก็ไม่สูง แต่เชี่ยวชาญการบังคับสายลม อีกทั้งเป็นอริต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวลอย่างยิ่ง ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายของพวกมันผลุบโผล่ลึกลับจัดการยากยิ่งนัก
อินหลิวอาศัยอาภรณ์สีทองบนร่างกับกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งดันทุรังสังหารฝ่าเส้นทางสีเลือดออกมา ด้วยสภาพแวดล้อมบีบบังคับเขาจึงไม่มีเวลาสนใจหลิ่วหมิง
แม้หลิ่วหมิงมีหยกตะวันอุ่นคุ้มครองกายและใช้วิชาจนหมดสิ้น แต่ก็ยังพบอันตรายไม่น้อย สุดท้ายจึงเรียกหุ่นตัวแทนที่ชิงหลิงมอบให้ออกมาแปลงเป็นร่างตัวแทนที่เหมือนกับตนเองทุกประการร่างหนึ่งล่อภูตสายลมคำรามส่วนใหญ่ไป เขาจึงหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด
“ต่อไปสหายหลิ่ววางแผนไว้เช่นไร?” อินหลิวเก็บอาภรณ์ตัวยาวสีทองบนร่างไปพลางมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยปากถาม
“ข้าน้อยเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ อยู่ที่ยมโลกอย่างไรก็ไม่สะดวก ข้าคิดจะไปจากยมโลกกลับไปยังแผ่นดินจงเทียนให้เร็วที่สุด” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็เอ่ยตอบ
“เช่นนี้ก็ดี ข้ามีธุระสำคัญต้องจัดการ ขอตัวก่อนแล้ว แต่หวังว่าสหายหลิ่วกลับไปยังแผ่นดินจงเทียนแล้วจะไม่ลืมสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า” อินหลิวเอ่ยสีหน้าจริงจัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา