หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาวทันทีเมื่อรู้ว่าเซียเอ๋อร์ผนึกแก่นแท้สำเร็จแล้ว ร่างกายขยับเหาะเข้าไปหา
“นายท่าน ข้า…ในที่สุดข้าก็ผนึกแก่นแท้สำเร็จแล้ว!” เซียเอ๋อร์หันไปมองหลิ่วหมิง ใบหน้าแดงระเรื่อ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“เจ้าเพิ่งผนึกแก่นแท้ พลังยังไม่มั่นคง ทำให้พลังมั่นคงสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมดีใจอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ไม่ลืมกำชับ
เซียเอ๋อร์ขานตอบเบาๆ แล้วกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองน้ำในแม่น้ำมืดใต้เท้าแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาจึงกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งเหาะจากไปไกลไม่อยู่ที่นี่ต่อ
……
วันนี้ ณ ยอดเขายักษ์ที่ตั้งตระหง่านอย่างทระนง ยอดเขาสูงทะลุเข้าไปในหมู่เมฆแห่งหนึ่งบนที่ราบกว้างใหญ่ทางตะวันตกของแดนวารีมืด
ที่แห่งนี้ก็คือเขารัตติกาล ภูเขาสูงอันโด่งดังของแดนวารีมืด
เวลานี้กลางทะเลเมฆบนยอดเขาชายหนุ่มผู้สวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ชายหนุ่มย่อมคือหลิ่วหมิง
เมฆหมอกสีเทารอบด้านเวียนวน ระหว่างยอดเขาใกล้เคียงมีอสูรแห่งความมืดจำพวกวิหคไม่น้อยบินผ่านไปเป็นระยะ
บางตัวบินเฉียดใกล้ยอดเขาที่หลิ่วหมิงอยู่ก็เหมือนรู้สึกถึงตัวตนที่น่าหวาดกลัวบางอย่าง จึงกระพือปีกอย่างทุลักทุเลสองสามครั้งบินถอยกลับไปหรือไม่ก็หลีกให้ไกล
หลิ่วหมิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้
จะว่าไปแล้วหลังจากเขามีวาสนาบังเอิญมาถึงยมโลกแห่งนี้ ไม่เพียงหลอมมุกบรรพตธาราสิบสองเม็ดสำเร็จ ยังกลั่นหยดพลังวารีแม่น้ำมืดได้อีกไม่น้อย ทำให้พลังของคุกมืดเพิ่มขึ้นมาก ทั้งตนเอง เฟยเอ๋อร์และเซียเอ๋อร์ก็ผนึกแก่นแท้ได้ตามลำดับ เคล็ดวิชากระดูกดำส่วนท้ายก็มาอยู่ในมือแล้ว
ไม่นานก่อนหน้านี้เขายังค้นพบว่าลูกกลอนกระบี่ในฝักกระบี่ว่างเปล่าตรงเอวเริ่มเคลื่อนไหว ท่าทางเหมือนกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
การเดินทางครั้งนี้ของเขานับว่าได้โชคลาภมากมายและได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ตนเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน รอกลับไปถึงนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่รู้จะทำให้ใครสักกี่คนตกตะลึง
หลิ่วหมิงคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
ในตอนนั้นเอง ด้านหลังร่างก็มีเสียงใสอันคุ้นเคยดังขึ้น
“ดูท่าใจเจ้าจะคิดถึงบ้านเกิดมากเอาการ ยังเหลือเวลาก่อนวันที่ข้ากับเจ้านัดกันอีกเดือนกว่า เจ้าก็มาถึงก่อนเสียแล้ว แต่หุ่นหยกผลึกหมึกก็สร้างเสร็จแล้ว เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบหันกลับไปมอง เงาร่างบอบบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนหน้าผากห่างไปด้านหลังเขายี่สิบสามสิบตั้งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด แล้วกำลังมองตนเองนิ่งๆ
ชิงหลิงนั่งเอง
“ผู้เยาว์เตรียมตัวพร้อมแล้ว รบกวนผู้อาวุโสด้วย” ในใจหลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก เขาประสานมือเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้าจะเรียกหุ่นออกมาแล้วเปิดอุโมงค์มิติส่งเจ้ากลับไป ประเดี๋ยวยามข้าใช้วิชา เจ้าอยู่ห่างข้าสักหน่อย หากเข้าไปก่อนเวลา เจ้าคงไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์” ชิงหลิงฟังแล้วพยักหน้า จากนั้นทำท่ามือของเคล็ดวิชาท่าหนึ่ง เมฆมงคลห้าสีกลุ่มหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้น
“ขอรับ” หลิ่วหมิงฟังจบ ร่างกายก็พุ่งถอยออกไปด้านหลัง หยุดอยู่ห่างจากชิงหลิงร้อยจั้ง
อึดใจต่อมาก็เห็นชิงหลิงยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ลูกกลมสีเทาขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ เขาอ้าปากถ่มปราณสีน้ำเงินคำหนึ่งจมลงในนั้น หลังจากท่องเคล็ดวิชาหลายประโยค หุ่นตัวนั้นก็ลอยมามาพร้อมกับขยายขนาดในพริบตา
ไม่นานนักหุ่นมนุษย์สีเทาสูงราวเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าพวกหลิ่วหมิง
ฉับพลันแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลที่ทำให้คนแทบหายใจไม่ออกสายหนึ่งก็แผ่ออกมาล้อมหลิ่วหมิงไว้ด้านในภายในพริบตา
หลิ่วหมิงตกตะลึง เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่อาจต่อต้านสายนี้ เขาต้องถอยหลังหลายก้าวติด ถึงขนาดที่อีกอึดใจหนึ่งกำลังจะคุกเข่าลง โชคดีที่รอบร่างเขาผุดปราณสีดำพลุ่งพล่านสายหนึ่งออกมาเองก่อน เสียงเปรี้ยงปร้างดังขึ้นพักหนึ่งพร้อมกับร่างกายขยายใหญ่หนึ่งเท่าจึงยืนมั่นคงได้อย่างหวุดหวิด แต่สีหน้าก็ซีดเผือด เหงื่อท่วมศีรษะ
ดีที่แรงกดดันจิตวิญญาณสายนี้ปรากฏขึ้นเพียงชั่วแวบไม่ได้กดดันต่อเนื่องไม่หยุด เห็นชัดว่าชิงหลิงเจตนาควบคุมไว้
ทว่าแม้เป็นเช่นนั้นชิงหลิงก็ยังผินหน้ามามองหลิ่วหมิงเหมือนคิดอะไรบางอย่างแวบหนึ่ง ในดวงตาทอประกายแปลกใจ
หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตใจได้จึงมองสำรวจหุ่นตรงหน้าอย่างหวาดๆ
แล้วก็เห็นว่าหุ่นตัวนี้คล้ายกับตอนที่ซวีหลิงเรียกออกมามาก เพียงแต่ทั่วทั้งร่างมีวงแหวนแสงสีน้ำเงินอ่อนวงหนึ่งล้อมอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับก็ทำให้อากาศใกล้ๆ บิดเบี้ยวผิดรูป
ชิงหลิงท่องมนตร์เสียงเบาหลายประโยค วงแหวนแสงสีน้ำเงินรอบร่างหุ่นหยกผลึกหมึกตัวนั้นพลันสั่นไหวเบาๆ หินผาแถบหนึ่งรอบด้านถูกอัดกระแทกร่วงแหวกหมู่เมฆลงไปยังผืนดินในทันใด
ชิงหลิงหยุดท่องมนตร์แล้วยกนิ้วจี้ดัชนีหนักหน่วงไปทางหุ่น
วงแหวนแสงสีน้ำเงินรอบตัวหุ่นหยกผลึกหมึกหดตัวลง จากนั้นมันก็อ้าปากถ่มสิ่งของทรงกระสวยสีดำสนิททั้งชิ้นออกมาชิ้นหนึ่ง มันโต้ลมขยายขนาดอย่างรวดเร็ว อากาศรอบด้านเกิดรอยปริแตกของมิติเส้นเล็กเส้นน้อยตัดกันไปมาตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง
หลังจากกระสวยยาวสีดำขยายจนใหญ่เจ็ดถึงแปดจั้ง ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะได้มองให้ละเอียด กระสวยสีดำก็พร่าเลือนหายไปกลายเป็นเงาเลือนรางทรงกระสวยแล่นแหวกอากาศไปยังท้องฟ้าในพริบตา
อากาศสั่นสะเทือน เกิดเสียงดังสนั่นดังฉึบ มิติปริออกเป็นรอยแยกเส้นหนาเส้นแล้วเส้นเล่า
ขณะที่รอยแยกมิติทยอยประสานตัว อุโมงค์แสงสีดำสนิทอันมหึมาก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับแรงดูดมหาศาลสายหนึ่งที่ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายยืนไม่มั่นคงในทันใด เขาเกือบจะต้านทานแรงดูดอันมหาศาลสายนี้ไม่ได้ ร่างกายลอยเข้าไปหาอุโมงค์แสงอย่างไม่อาจควบคุม
ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายกับพายุหมุนสีดำลึกลับลูกนั้นตอนเขาเพิ่งมาถึงยมโลก แต่สิ่งนี้เหมือนจะมั่นคงกว่าเล็กน้อย
ขณะที่หลิ่วหมิงพยายามจะทำอะไรบางอย่างเพื่อต้านแรงดูดสายนี้ ชิงหลิงกลับยกแขนขึ้นอย่างสบายๆ แสงสีน้ำเงินหม่นสายหนึ่งโอบร่างของเขาเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา