ตะขาบสีเหลืองทั้งหมดกระจายอยู่รอบนอกของสนามรบ เกิดเป็นเกราะป้องกันขนาดยักษ์สีเหลืองอ่อน ล้อมตะขาบสีดำกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหมดไว้ด้านใน ประหนึ่งว่ากำลังป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หนีออกไปได้ วงแหวนแสงสีเหลืองเหนือเขาบนหัวก่อตัวเป็นเส้นไหมแวววาวสีเหลืองเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ในเกราะป้องกันเป็นระยะ
หากผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านั้นไม่ระวังถูกเส้นไหมสีเหลืองรัดเข้า แม้จะไม่ได้บาดเจ็บอันใด แต่การเคลื่อนไหวก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย
นอกเหนือจากนี้เกราะสีเหลืองอ่อนขนาดยักษ์นี่ยังเหมือนจะมีพลังดูดกลืนปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินอีกด้วย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินภายในเกราะกำลังถูกมันสูบเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทำให้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินที่ล้อมอยู่รอบด้านลดน้อยลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว
“ที่แท้ต้นเหตุของแรงสั่นสะเทือนก็มาจากแมลงสีเหลืองพวกนี้นี่เอง”
เวลานี้หลิ่วหมิงใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนซ่อนลมปราณอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววเข้าใจ
ตะขาบสีดำเคลื่อนไหวว่องไวอย่างที่สุด มันพุ่งมาถึงตรงหน้าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ประหนึ่งน้ำหลาก แล้วโจมตีผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์อย่างบ้าคลั่งด้วยขาแหลมคมกับน้ำกรดสีเขียวที่พ่นจากปาก
เทียบกับตะขาบมากมายยั้วเยี้ย ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แลดูน้อยกว่ามาก พวกเขามีเพียงสี่สิบกว่าคนเท่านั้น
ทุกคนสวมชุดสีเทาทั้งตัว ตรงหน้าผากมีผ้าคาดสีเทาเส้นหนึ่ง เวลานี้พวกเขากำลังยืนล้อมอยู่รอบเสาศิลาสีเทาหนาเท่าไหน้ำที่สูงสิบกว่าจั้งต้นหนึ่ง
ผิวของเสาศิลาสลักภาพสัญลักษณ์กิ้งก่าที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่หนึ่งตัว
ผู้เฒ่าชุดเทาเส้นผมหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งลอยอยู่เหนือเสาศิลาและกำลังส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าไปในเสาศิลาไม่หยุด ระลอกคลื่นสีเทาอ่อนแผ่ขยายจากเสาศิลาออกมารอบด้านล้อมผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหมดไว้ด้านใน
เมื่อถูกระลอกคลื่นสีเทาอาบไล้ ผิวของทุกคนก็ถูกแสงสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งหุ้มไว้ น่าจะเป็นวิชาลับเสริมการป้องกันบางอย่าง
“เอ๋? วิชาภาพสัญลักษณ์!”
สายตาของหลิ่วหมิงจับอยู่บนเสาศิลาสีเทา ในใจฉุกคิดบางอย่าง
ผู้เฒ่าชุดเทาผู้นี้ระดับพลังอยู่ประมาณระดับแก่นแท้ขั้นกลาง เห็นชัดว่าเขาเป็นหัวหน้าของผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ นอกจากนี้ก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอีกห้าคน ส่วนคนที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกฝนระดับต่ำระดับของเหลวจิตวิญญาณทั้งสิ้น
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตรงเอวต่างมีถุงผ้าตุงนูนอยู่หลายถุง พวกเขาคว้าทรายละเอียดสีเทากำแล้วกำเล่าออกมาจากถุงไม่หยุด จากนั้นควบคุมมันให้กลายเป็นลิ่มสีเทาหรืออาวุธนานาชนิดพุ่งพรวดเข้าใส่แมลงสีดำที่บีบเข้ามารอบด้านอย่างต่อเนื่องเพื่อขัดขวางพวกมันไม่ให้เข้าใกล้
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกร่างระดับของเหลวจิตวิญญาณร่างกายกำยำอีกเจ็ดแปดคนกำลังเหวี่ยงกำปั้นเหล็กที่สวมถุงมือจนเกิดสายลมสีเทาประหนึ่งอสรพิษยักษ์สายแล้วสายเล่าโจมตีเข้าใส่แมลงสีดำที่เข้ามาใกล้อย่างไม่เกรงใจสักนิด
หลิ่วหมิงสังเกตอยู่พักหนึ่ง ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากแมลงสีดำส่วนใหญ่เทียบเท่ากับพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณของผ่ามนุษย์เท่านั้น แต่อาวุธระดับของเหลวจิตวิญญาณที่สร้างจากทรายสีเทาเหล่านี้ที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ใช้ยามตกต้องบนเปลือกแข็งสีดำสนิทรอบร่างตะขาบสีดำ ส่วนใหญ่กลับสร้างเพียงรอยกรีดสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าหรือไม่ก็โจมตีพวกมันปลิวออกไปได้สองสามจั้งเท่านั้น ทำอันตรายพวกมันไม่ได้แม้แต่น้อย
มีเพียงการโจมตีจากอาวุธทรายที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกห้าคนนั้นใช้ที่ยังพอฝ่าการป้องกันของมันทำให้พวกมันบาดเจ็บหรือสังหารพวกมันได้
เทียบกันแล้ว การโจมตีสังหารระยะใกล้ของผู้ฝึกร่างระดับต่ำเจ็ดแปดคนนั้นกลับจะได้ผลมากกว่า จุดที่สายลมหมัดพุ่งผ่าน เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิว ทันทีที่สัมผัสถูกแมลงสีดำหนังหนาเนื้อหยาบเหล่านั้น พวกมันก็ทยอยถูกโจมตีกลายเป็นเศษเนื้อ
แต่จำนวนของผู้ฝึกร่างน้อยเกินไปจริงๆ อีกทั้งระดับพลังก็ต่ำเกินไปจึงไม่ค่อยเกิดประโยชน์นัก
อีกประการหนึ่งแมลงสีดำเหล่านี้เคลื่อนไหวว่องไวเป็นที่สุด เมื่อพบว่าสู้ผู้ฝึกร่างเหล่านี้ไม่ได้ พวกมันก็ไม่ฝืนเข้าปะทะแต่เลี้ยวไปโจมตีผู้ฝึกฝนคนอื่น
นอกจากนี้หลิ่วหมิงยังพบว่าแมลงสีดำที่บาดเจ็บกลับกัดกินพรรคพวกที่ขยับไม่ได้หรือเจ็บหนักกว่าอย่างอำมหิต หลังจากกินเข้าไป พวกมันไม่เพียงหายจากการบาดเจ็บแต่ยังดุร้ายยิ่งกว่าเดิม ลมปราณแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนกิน
เมื่อปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินรอบด้านลดน้อยลงไม่หยุด การโจมตีของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ก็ยิ่งอ่อนแรง พริบตาเดียวก็มีผู้ฝึกฝนหลายคนตายวายชีวา ส่วนแมลงสีดำกลับลดน้อยลงเพียงหนึ่งถึงสองส่วนในสิบส่วนเท่านั้น
ยังดีที่เมื่อแมลงสีดำเหล่านั้นเข้าไปในระลอกคลื่นสีเทาที่แผ่ออกมาจากเสาศิลาสีเทาตรงกลาง ความเร็วก็ลดฮวบลงทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ยังไม่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
“ผู้อาวุโสฉิน พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่เกินครึ่งวันแล้ว ฝ่าออกไปกี่ครั้งก็ถูกต้อนกลับมา ปราณจิตวิญญาณยามนี้เบาบางลงเรื่อยๆ เกรงว่าคงจะต้านได้อีกไม่นานเท่าไร”
ผู้ที่พูดขึ้นมาก็คือชายหนุ่มคิ้วเข้มระดับผลึกคนหนึ่ง ในมือเขากำธงสามเหลี่ยมน้อยสีเทาหม่นผืนหนึ่งเอาไว้ ถุงตรงเอวมีหมอกทรายสีเทาลอยออกมาแถบแล้วแถบเล่ากลายเป็นศรทรายสีเทามากมายถี่ยิบเป็นผืนกวาดเข้าใส่ตะขาบสีดำด้านหน้า
แม้ศรทรายเหล่านี้จะพลังไม่น้อย เสียบทะลุเปลือกอันแข็งแกร่งของแมลงสีดำได้ทันที ทว่าพอตะขาบสีดำหลีกหลบ ส่วนใหญ่กลับพลาดเป้า
“แผนตอนนี้ทำได้เพียงป้องกันได้นานเท่าไรก็นานเท่านั้น ถ้าแตกกลุ่มเมื่อได้ เกรงว่าคงจะตายเร็วยิ่งกว่าเดิม แมลงพวกนี้คล้ายกองทัพของมนุษย์อยู่บ้าง แต่ละตัวเคลื่อนไหวประสานกันดียิ่งนัก ไม่มีโอกาสให้พวกเราฝ่าออกไปแม้แต่น้อย” ผู้ที่พูดก็คือผู้เฒ่าชุดเทาผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนผู้นั้น
เขาส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าไปในเสาศิลา พร้อมกับปล่อยจิตสัมผัสเฝ้าสังเกตสนามรบอย่างใกล้ชิดไปด้วย ทันทีที่มีผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตกอยู่ในอันตรายก็จะส่งวงแหวนแสงสีเทาวงแล้ววงเล่าออกไปช่วยพวกเขาให้หลุดจากวงล้อม
แต่ถึงแม้เขาเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ แต่ลงมือบ่อยเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มแสดงความเหนื่อยล้าออกมาเช่นกัน
“โชคดีที่ยังมีค่ายกลภาพสัญลักษณ์เทพทรายของผู้อาวุโสฉินสนับสนุน พวกเราถึงยังมีโอกาสยืนพูดอยู่ที่นี่ แต่ศิษย์ระดับล่างเหล่านี้ไม่ว่าพลังเวทหรือพลังกายก็ใกล้หมดแล้ว เกรงว่าคงต้านได้อีกไม่นาน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา