ผลปรากฏว่ายังไม่ทันที่ตั๊กแตนยักษ์จะตั้งหลักได้ หลิ่วหมิงก็กลายเป็นเงาสีดำหายวับมาปรากฏตัวตรงหน้ามันอีกครั้ง สิ่งที่ตามมาด้วยคือเงาหัวพยัคฆ์มหึมาหัวหนึ่งที่พุ่งหายวับไปกระแทกบนหัวซึ่งไร้การป้องกันอีกหนพร้อมกับเสียงพยัคฆ์คำรามดังสนั่นสะเทือนแก้วหู
“โพล๊ะ!”
หัวของตั๊กแตนยักษ์ฉับพลันแตกเป็นเสี่ยงเหมือนลูกแตงโม เลือดสีเขียวน่าขยะแขยงไหลออกมาด้านนอกประดุจน้ำพุ
ขาสองข้างของมันสะบัดเปะปะอย่างไร้จุดหมายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างกายมหึมาจะล้มตึงกับพื้น กระตุกอยู่สองสามครั้งก็หมดลมหายใจ
นับตั้งแต่ตั๊กแตนยักษ์ลงมือจู่โจมหลิ่วหมิงจนกระทั่งถูกหลิ่วหมิงสังหารไวปานสายฟ้าแลบ ตั้งแต่ต้นจนจบกินเวลาไม่เกินสองสามลมหายใจ บนท้องฟ้า นอกจากเสียงกำปั้นหนักหน่วงเด็ดขาดสองครั้งก็มีเพียงเสียงหวีดหวิวของพายุทรายที่พัดอยู่รอบด้านเท่านั้น
ผู้ฝึกฝนคนอื่นเพิ่งเหาะเข้ามาใกล้ ไม่มีช่องว่างให้พวกเขาสอดมือยุ่งสักนิด พวกเขาตาโตอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง แม้แต่ซือโห่วก็ยังมีแววตาประหลาดใจ
หลิ่วหมิงมองตั๊กแตนยักษ์ที่ล้มลงไป แล้วเรียกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนออกมาทันทีอย่างไม่ชักช้า วัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาตัวหนึ่งม้วนตัวออกมา แสงเรืองรองสีน้ำเงินโอบล้อมศพของมันแล้วลากกลับมาลงท้องเงาวัวสีน้ำเงินในพริบตา
ลวดลายสีน้ำเงินในร่างเงาส่องแสงเพียงไม่กี่หน ศพของตั๊กแตนยักษ์ทั้งตัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองดูสนามรบที่ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อยแล้วจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากเก็บเช่อฮ่วนกลับไปก็หมุนตัวเหาะไปหาซือโห่วอย่างรวดเร็ว
“สหายหลิ่วช่างควบคุมแรงโจมตีได้ยอดเยี่ยม รวมพลังไว้ในการโจมตีเดียวแต่ในเวลาเดียวกันก็ควบคุมคลื่นพลังปราณให้น้อยที่สุด หายากจริงๆ …ว่าแต่สิ่งนั้นที่เรียกออกมาตอนสุดท้ายคือวิชาลับภาพสัญลักษณ์ใดหรือ ถึงขั้นกินตั๊กแตนยักษ์ไปได้ทันที” บุรุษร่างกำยำผมแดงจากเขามังกรน้ำตาลประสานมือให้หลิ่วหมิง เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยนิดๆ
“ไม่ผิด เป็นวิชาลับภาพสัญลักษณ์พิเศษชนิดหนึ่งที่ข้าบังเอิญได้มาที่พอดีข่มแมลงยักษ์เหล่านี้ได้บ้าง” หลิ่วหมิงตอบสองสามประโยคอย่างคลุมเครือ
ในงานประตูสวรรค์ครั้งนั้น มนุษย์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตนนั้นเคยเรียกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนของตนว่าจู๋เสิน อีกทั้งยังมีท่าทางหวั่นเกรงอย่างยิ่ง วันนี้ทดลองดูก็ได้ผลเหมือนเช่นวันนั้นไม่แตกต่าง ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนยังดูดกลืนพวกมันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“เอาล่ะ ช้าแล้ว พวกเรารีบเร่งเดินทางกันเถิด! ระยะทางหลังจากนี้เกรงว่าเผ่าหนอนผีเสื้อน่าจะชุกชุมขึ้นอีก”
เสียงกระแสจิตของซือโห่วดังขึ้นในหูของทุกคน
คณะเดินทางต่างตั้งสติแล้วออกเดินทางต่อทันที
หลังจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้ กลุ่มของหลิ่วหมิงจึงลดความเร็วลงเล็กน้อย อย่างไรตอนนี้ก็อยู่ลึกเข้ามาในทะเลทรายแล้ว ทั่วทุกทิศล้วนมีเผ่าหนอนผีเสื้อน้อยใหญ่รวมตัวอยู่ หากไม่ทันระวังแม้เพียงเล็กน้อยจนถูกพบร่องรอยเข้า สิ่งที่ทำมาก่อนหน้าย่อมสูญเปล่า
สองวันต่อมา เพราะมีหมอกสีเหลืองจากธงซ่อนทรายของซือโห่วช่วยเหลือ แม้ระหว่างทางจะพบเผ่าหนอนผีเสื้อรูปร่างประหลาดอีกจำนวนหนึ่งแต่ก็ผ่านไปได้ปลอดภัยอย่างหวุดหวิดทั้งสิ้น
เป็นเช่นนี้จนถึงยามเที่ยงของวันที่สาม คณะเดินทางสิบคนก็มาถึงหน้าเนินทรายสูงหลายสิบจั้งแห่งหนึ่ง
“ด้านหน้าน่าจะเป็นจุดวางค่ายกลที่ผู้อาวุโสเหยาคำนวณเอาไว้แล้ว” ซือโห่วที่เป็นผู้นำหยุดเคลื่อนที่แล้วมองเนินทรายด้านหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม
หลิ่วหมิงยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่ม เขามองตามสายตาของทุกคนไปด้านหน้าก็เห็นสายลมคลั่งพัดโหมอยู่เบื้องหน้า สายลมพัดดังหวีดหวิว พายุหมุนลูกแล้วลูกเล่าดำทะมึนเป็นผืน เห็นชัดว่าพายุคลุ้มคลั่งกว่าตอนเพิ่งเข้ามาในทะเลทรายหลายส่วน
ใกล้กับเนินทรายสูงมีเนินทรายขนาดเล็กหลายลูก พวกมันเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ท่ามกลางพายุทรายสีดำ บางครั้งพายุหมุนบางลูกก็พัดปะทะกันจนเกิดเป็นพายุหมุนสูงจรดฟ้าลูกใหญ่กว่าเดิม พัดผ่านที่ใดเม็ดทรายปลิวว่อนก้อนหินดีดกระเด็น ทำให้คนไม่อาจเข้าใกล้
ซือโห่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักนิด เขาพลิกมือเรียกแผนที่หยกชิ้นหนึ่งออกมาแนบหน้าผากเปรียบเทียบเล็กน้อย จากนั้นธงน้อยสีเหลืองเข้มในมือก็สะบัดเบาๆ ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นหมอกสีเหลืองกลุ่มหนึ่งเหาะไปเหนือเนินทรายสูงตรงหน้า หลังจากหมุนวนกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเหลืองก็สว่างจ้าขึ้นทันที
พริบตาเดียวเกราะหมอกสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือร่างพวกหลิ่วหมิงแล้วครอบลงมารอบด้าน ล้อมอาณาเขตสามร้อยจั้งโดยรอบไว้ด้านใน
ในตอนที่ทุกคนมองเกราะหมอกสีเหลืองที่อยู่รอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนั่นเอง เงาคนกำยำร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกลุ่มหมอกสีเหลืองกลางท้องฟ้าอีกครั้ง แสงสว่างกะพริบสองสามครั้งเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน ซือโห่วนั่นเอง
แต่เวลานี้ในมือเขามีแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมสีเหลืองเข้มแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ระหว่างแต่ละมุมของมุมทั้งแปดบนแผ่นค่ายกลแผ่นนี้มีจุดแสงสีเหลืองเข้มขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งอยู่จุดหนึ่งทอแสงกะพริบไม่หยุด แลดูค่อนข้างลี้ลับ
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกแปดคนในกลุ่มก้าวออกมาทันที สี่คนในนั้นสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวของหุบเขาปีศาจสวรรค์ ส่วนคนที่เหลือสวมอาภรณ์แตกต่างกันไป แต่ในมือล้วนถือถือธงน้อยรูปสามเหลี่ยมสีเหลืองคันหนึ่งกับแผ่นค่ายกลทรงกลมชิ้นหนึ่งอยู่
“แม้ข้าจะใช้ธงซ่อนทรายวางค่ายกลซ่อนทรายเอาไว้ น่าจะเพียงพอเก็บซ่อนความเคลื่อนไหวทุกสิ่งยามวางค่ายกลได้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ขอให้ทุกท่านระวังให้ดี” ซือโห่วถูแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมในมือ สายตามองไปทางผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สี่คนซึ่งรวมหลิ่วหมิงอยู่ด้วย แล้วเอ่ยเช่นนี้
“ผู้อาวุโสซือโห่วโปรดวางใจ!” บุรุษร่างกำยำผมแดงเพลิงประสานมือตอบทันที
พวกหลิ่วหมิงย่อมทยอยรับคำ จากนั้นขยับกลายเป็นลำแสงสี่สายมุ่งไปยังขอบสี่ด้านของไอหมอกสีเหลืองที่ล้อมอยู่
ซือโห่วเห็นเช่นนี้จึงหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งแปดต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา