ครึ่งเดือนหลังจากนั้น
หลังจากเร่งทำงานติดต่อกันหลายวัน บริเวณเทือกเขารอบเขาผ่านพิภพที่หันหน้าไปยังทะเลทรายหนานฮวงก็ก่อสร้างป้อมปราการน้อยใหญ่หลายสิบหลังขึ้นมาอย่างเร่งด่วน อาศัยความได้เปรียบทางชัยภูมิสร้างแนวป้องกันอันแข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก
บนป้อมปราการ ผู้ฝึกฝนกองแล้วกองเล่าลาดตระเวนไปมาอย่างเป็นระเบียบ ส่วนบนกำแพงของป้อมปราการแต่ละช่วงจะเห็นหน้าไม้ขนาดยักษ์และอาวุธเวทขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงเข้มข้นออกมาเป็นพักๆ อยู่จุดหนึ่ง
ลำแสงหลายสายเหาะไปมาบนท้องฟ้าเป็นระยะ เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่สวมใส่อาภรณ์หลากหลายแบบ แล้วยังมีกลุ่มย่อยหลายสิบคนมาเสริมตามป้อมปราการแต่ละแห่งเป็นระยะ ทุกสิ่งดูเหมือนเป็นระเบียบเรียบร้อย
สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องยกความดีความชอบให้การก่อตั้งพันธมิตรหนานฮวง ภายในเวลาสั้นๆ เท่านี้แต่จัดระบบที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ ทำให้สถานการณ์ที่เดิมทีสับสนวุ่นวายเล็กน้อยของเขาผ่านพิภพเป็นระเบียบขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนี้เขาผ่านพิภพอันสูงตระหง่านทั้งลูกก็เห็นชัดว่าถูกม่านแสงสีเทาหม่นล้อมเอาไว้ เริ่มตั้งแต่ไหล่เขา บนม่านแสงมียันต์อันลี้ลับไหลเคลื่อนไม่หยุดอยู่เลือนราง มองจากไกลๆ แลดูขมุกขมัวมองเห็นสภาพทุกสิ่งด้านในภูเขาไม่ชัดสักนิด
บนป้อมปราการที่สร้างชิดภูเขาแห่งหนึ่ง แสงสีดำสายหนึ่งเหาะเร็วรี่มาจากไกลๆ หลังจากวนบนท้องฟ้ารอบหนึ่งก็ร่อนลงบนกำแพงป้อมปราการ
แสงสีดำดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา
บนกำแพงป้อมปราการ ซือโห่วผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์กับผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนยืนอยู่ที่นี่แล้ว
“ผู้อาวุโสซือโห่วและสหายทุกท่าน ขออภัยด้วย ข้าทำพันธะกับอาวุธเวทชิ้นหนึ่งอยู่จึงทำให้เสียเวลา ปล่อยให้ทุกท่านรออยู่ที่นี่นาน” หลิ่วหมิงก้าวเร็วไวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“พวกเราก็เพิ่งมาถึง สหายหลิ่วไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” ซือโห่วโบกมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด
ข้างกายซือโห่วมีศิษย์ระดับผลึกที่สวมชุดของหุบเขาปีศาจสวรรค์ยืนอยู่สามสี่คน หลังจากเห็นหลิ่วหมิง พวกเขาต่างประสานมือคำนับ หลิ่วหมิงย่อมไม่วางท่า คำนับคืนทีละคน
นอกจากคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ เสื้อผ้าของคนที่เหลือล้วนแตกต่างกัน น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจขนาดเล็กกับขนาดกลางแต่ละแห่งในหนานฮวง
คนหนึ่งในนั้นร่างกายกำยำ เส้นผมยาวสีแดงเพลิง เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง
หลิ่วหมิงจดจำคนผู้นั้นได้ค่อนข้างชัดเจน เขาก็คือผู้ฝึกร่างจากเขามังกรน้ำตาลผู้นั้นที่ตนเคยพบวันที่มาถึงเขาผ่านพิภพ
ทั้งหน่วยรวมหลิ่วหมิง มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สี่คน ส่วนที่เหลือล้วนเป็นศิษย์ระดับผลึก
“ในเมื่อสหายหลิ่วมาถึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราเตรียมตัวสักหน่อยก็ออกเดินทางเถิด กลุ่มอื่นเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว” ซือโห่วกวาดสายตามองรอบด้านครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้
ผู้ที่อยู่ตรงนั้นฟังจบย่อมไม่คัดค้าน
ครู่ต่อมาท้องฟ้าเหนือเขาผ่านพิภพที่เริ่มมืดสลัวก็มีคนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นลำแสงสายแล้วสายเล่าเหาะไปยังทะเลทรายหนานฮวงเสมือนหนึ่งเมฆหลากสีสายหนึ่ง แล้วหายลับไปในพริบตา
……
สิบกว่าวันให้หลัง คณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็ระหกระเหินมาไกลจนถึงขอบของทะเลทรายหนานฮวงในที่สุด
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองก็เห็นทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่งที่มีเม็ดทรายสีเหลืองคล้ำอยู่ตรงหน้า แต่เวลานี้เหนือทะเลทรายทั้งผืนเห็นแต่สายลมคลั่งดุดันระลอกแล้วระลอกเล่า ลมหมุนมหึมาดุจต้นเสาขนาดหนึ่งจั้งกว่าพัดขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่งเป็นระยะ
เม็ดทรายสีดำปกคลุมผืนฟ้าบดบังท้องนภาไปเกินครึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกมืดมิดประหนึ่งไร้ดวงตะวัน
หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าใจว่า “วันทรายทมิฬ” ที่เรียกกันหมายความว่าอย่างไร
“พายุทรายทมิฬเริ่มอาละวาดแล้ว พอดีพวกเราจะได้อาศัยสิ่งนี้ปิดบังร่องรอย จากข่าวที่พันธมิตรสืบมาได้ พายุทรายอันรุนแรงจะส่งผลต่อประสาทสัมผัสของเผ่าหนอนผีเสื้อ แต่ทุกท่านอย่าได้ประมาท ระหว่างทางกลบกลิ่นอายของตนเองให้ได้มากที่สุด อย่างไรครั้งนี้ก็คือภารกิจลอบเข้าแดนศัตรู เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางเถอะ” ซือโห่วหันหน้าไปเอ่ยกับคนอื่นๆ ประโยคหนึ่ง จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเหลืองเหาะเข้าไปในพายุทรายสีดำ
ทุกคนสบตากันแล้วต่างใช้วิชาลับซ่อนคลื่นพลังเวทบนร่าง ปล่อยแสงคุ้มกันร่างออกมาเพียงชั้นเดียวเพื่อป้องกันพายุทราย หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าตามซือโห่วไป
ระหว่างทางอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของซือโห่วกวาดสำรวจ ทุกคนจึงหลบเลี่ยงจุดที่เผ่าหนอนผีเสื้อรวมตัวกันได้แห่งแล้วแห่งเล่า
ทว่ายิ่งเข้ามาลึกในทะเลทราย ทิวทัศน์รอบด้านก็เปลี่ยนแปลงตาม
เพราะพายุฝุ่นทราย แสงรอบด้านจึงสลัวอย่างยิ่ง ดวงตะวันเหนือศีรษะแทบจะมองไม่เห็น เม็ดทรายสีดำกระทบบนเกราะแสงคุ้มกันร่างของผู้ฝึกฝนทุกคนถี่ยิบจนเกิดเสียงเกรียวกราวประหนึ่งเม็ดฝนกระทบใบตอง
บนร่างของหลิ่วหมิงยามนี้มีปราณสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งล้อมอยู่ จึงกั้นสายลมคลั่งกับเม็ดทรายสีดำเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ
ส่วนผู้ฝึกฝนคนอื่นไม่กล้าใช้อาวุธเวทคุ้มกันกายที่คลื่นพลังเวทรุนแรงเพราะคำพูดของซือโห่ว
เมื่อเผชิญหน้ากับพายุทรายทมิฬที่ดุดันเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งหลายไม่เป็นอันใด แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหล่านั้นนานเข้าเห็นชัดว่ากินแรงอยู่บ้าง
ทันใดนั้นซือโห่วที่เหาะอยู่ด้านหน้าสุดก็หยุด เขาหันหลังกลับไปมองผู้คนด้านหลัง แล้วสะบัดแขนเสื้อยาวอย่างไม่พูดพร่ำ เรียกธงน้อยสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งออกมา
ทันใดนั้นธงน้อยผืนนี้ก็เปล่งแสง บนผิวปรากฏวงแหวนแสงสีเหลืองหม่นวงหนึ่งล้อม เมื่อซือโห่วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา หมอกสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งก็ผุดออกมาจากธงผืนน้อยและขยายพรวดออกมาล้อมผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ไว้ทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา