ขณะนั้นเองก็สีน้ำเสียงเยือกเย็นของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดังออกมาจากกลุ่มแสงสีเทา
“พวกเจ้าจงฟังให้ดี ทางเข้านี้มีของล้ำค่าของสหายมู่หรงคอยช่วยต้านทานไว้ ดังนั้นจึงประคองไม่ให้มันทลายลงมาได้นานขึ้น พวกเจ้าสามารถอยู่ในแดนลึกลับได้นานหนึ่งเดือนครึ่งแล้วค่อยกลับมายังสถานที่แห่งนี้ จำไว้ให้ดีมีเวลาแค่หนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น ถ้ากลับมาช้ากว่านี้ก็อย่าคิดที่จะออกไปจากในนี้อีกเลย”
หลังจากเสียงของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่สิ้นสุดลง กลุ่มแสงสีเทาก็เงียบสงบขึ้นมา
“ศิษย์น้องทุกท่านได้ยินกันแล้วใช่ไหม พวกเรามาหารือกันว่าจะดำเนินการต่อไปดีกว่า ตามความเห็นของท่านประมุขและอาจารย์อาทั้งหลายคือถ้าหากว่าแดนลึกลับแห่งนี้ไม่กว้างล่ะก็ ให้พวกเราไปด้วยกันจะดีที่สุด เพื่อป้องกันการโจมตีจากนิกายอื่นๆ แต่ถ้าหากแดนลึกลับกว้างมากล่ะก็ ก็ต้องแยกย้ายกันดำเนินการ จะได้รวบรวมทรัพยากรได้มากและรวดเร็วที่สุด” หยางเฉียนกวาดสายตามองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เฮ่อๆ! แดนลึกลับแห่งนี้มีพลังฟ้าดินเข้มข้นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพื้นที่คงไม่เล็กแล้ว ย่อมต้องแยกย้ายกันดำเนินการ อย่างน้อยข้าก็จะไม่ไปกับคนอื่นแน่นอน!” ศิษย์แข็งแกร่งที่สุดของสาขาฝึกศพที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างเฟิงฉานก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“ข้าเองก็เห็นด้วย ข้าไม่อยากถูกคนอ่อนแอบางคนที่อาศัยความโชคดีเข้ามาในกลุ่มของพวกเรา และเป็นภาระในการดำเนินการด้วย แดนลึกลับลับธรรมชาติขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่รู้ว่าหลายพันปีจะเจอสักครั้งหรือเปล่า ข้าจะไม่ยอมเสียโอกาสอันดีที่ฟ้าประทานมาให้นี้ไปอย่างแน่นอน” หมิ่นโซ่วหัวเราะเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
ส่วนผู้อ่อนแอที่เขากล่าวถึงจะเป็นใครนั้นนั้น ก็คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้
ส่วนเฉียนฮุ่ยเหนียง เจียหลาน เกาชงและคนอื่นๆ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงออกก็ประจักษ์ชัดว่าก็เห็นด้วยพอๆ กัน!
“ดีมาก! ในเมื่อศิษย์น้องทุกท่านต่างก็ต้องการเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็แยกกันดำเนินการ และรับผิดชอบความเป็นตายของตัวเองเถอะ! แต่ถ้าในระหว่างนี้เจอศิษย์ร่วมนิกายที่ผจญกับอันตรายอยู่ล่ะก็ จงให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก” หยางเฉียนพยักหน้ากล่าวออกมา
ขณะนี้ศิษย์นิกายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะหารือกันเสร็จแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำออกไปก่อน และต่างก็แยกย้ายกันออกไป บ้างก็กระโจนไปยังป่าดงดิบบริเวณนั้น บ้างก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่ไกลออกไป
แต่ผู้ที่แสดงวิชาทะยานเวหานั้นต่างก็อยู่สูงจากพื้นสิบกว่าจั้งเท่านั้น และไม่กล้าเหาะขึ้นสูงมากนัก
ดูเหมือนทุกคนต่างก็ไม่มีใครโง่ ที่จะไม่รู้ว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ ถ้าเหาะขึ้นสูงขึ้นไปก็เท่ากับหาเรื่องตายเท่านั้น
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เฟิงฉานก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วเขาก็พุ่งร่างไปยังป่าดงดิบพร้อมกับไอดำที่พุ่งออกมา
หมิ่นโซ่วกับเกาชงก็เดินตามไปติดๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็เรียกเมฆสีเทาออกมาแล้วขี่ออกไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลๆ
พริบตาเดียวก็เหลือแค่หลิ่วหมิง สือชวน และเจียหลานที่ยังอยู่ที่เดิมเท่านั้น
“ศิษย์น้องระวังให้มากหน่อยนะ ข้าเองก็ต้องไปก่อนละ!”
สือชวนกำชับหลิ่วหมิวไปหนึ่งประโยคแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไป ดูจากทิศทางที่ไปแล้วเป็นทิศทางเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่ในนิกายอย่างหยางเฉียน
เจียหลานยิ้มให้กับหลิ่วหมิงแล้วก็หมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบ
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองฟ้า และมองไปยังศิษย์ไม่กี่คนที่ยังไม่ยอมจากไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เรียกเมฆเทาเหาะไปยังป่าดงดิบ
แต่พอเขาเหาะไปใกล้จะถึงชายป่าดงดิบ กลับเปลี่ยนทิศทางเหาะเลียบไปตามขอบชายป่าในฉับพลัน
คนอื่นๆ ที่เหลือก็เลือกทิศทางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พากันจากไป
หลิ่วหมิงใช้แผ่นกลมๆ วาดแผนที่ที่เหาะผ่านมา และสำรวจดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง
เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ป่าดงดิบนั้นกว้างมาก ต้องเรียกว่าป่าดงดิบขนาดใหญ่ถึงจะถูก
อึดใจเดียวเขาก็เหาะมาได้ครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ตลอดทางที่เหาะผ่านมานั้นดูเงียบผิดปกติ นอกจากจะพบเห็นแมลงขนาดเล็กที่ไม่ทราบชื่อจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นสัตว์อื่นใดปรากฏออกมาเลย
หลิ่วหมิงเริ่มคิดพิจารณาแล้วว่าจะมุ่งหน้าต่อไปดีหรือไม่
ตามที่เขาคำนวณในใจ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งที่คนอื่นเข้าไปในป่าดงดิบค่อนข้างไกลแล้ว เพียงแค่ระวังให้มากหน่อยในระยะเวลาอันสั้นนี้คงจะไม่พบเจอกับศิษย์นิกายอื่นๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงดังขึ้น ตอนแรกดูเหมือนจะเบาๆ แต่ครู่เดียวก็ดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมา
เขามองไปยังทุ่งหญ้าด้วยความตกใจ บนเส้นขอบฟ้าที่จรดกับทุ่งหญ้าสีเขียวนั้น มีกำแพงวายุสีแดงที่มองไม่เห็นขอบสิ้นสุด ซึ่งไม่รู้ว่ามันปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันกำลังพุ่งมายังป่าดงดิบด้วยเสียงอันดัง
สีหมิงสีหน้าหนักอึ้งในทันที เขาหมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบอย่างไม่ลังเล
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากำแพงวายุสีแดงนี้คืออะไร แต่คิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าศิษย์ที่เข้าไปในทุ่งหญ้าจะมีใครโชคร้ายโดนม้วนตัวเข้าไปในนั้นหรือเปล่า
หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ คงได้แต่ขอให้พวกเขาโชคดีเท่านั้น
สถานที่ทุกแห่งของป่าดงดิบเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณที่สูงยี่สิบถึงสามสิบจั้ง!
พอหลิ่วหมิงเจ้าไปในป่าดงดิบ ก็รีบเก็บวิชาทะยานฟ้า แล้วเปลี่ยนเป็นวิชาตัวเบาแทน จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปตามช่องว่างระหว่างต้นไม้แต่ละต้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา