ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 116

สรุปบท ตอนที่ 116: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 116 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 116 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 116 เถี่ยเยวี่ย
ตอนที่ 116 เถี่ยเยวี่ย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่หญิงนางนี้ส่งเสียงออกมา ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าก็หมุนวนหนึ่งรอบแล้วพุ่งเข้ามาในกระบี่บนมือของนาง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ศิษย์นิกายปีศาจสะบัดกระบี่หิมะขาวอย่างรุนแรง หลังจากที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นนางก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านที่ยาวจั้งกว่าๆ พุ่งไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ถ้าหากมีคนเห็นฉากนี้จะต้องตกใจจนต้องร้องออกมาอย่างแน่นอน

สิ่งนี้คือร่างฝึกกระบี่ที่ฝึกจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วถึงจะสามารถใช้วิชากระบี่รวมร่างเข้าด้วยกันได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ร่างฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยต่อให้ฝึกฝนจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ ก็เหมือนกับหญิงแซ่อวี๋ที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตนนั้น ถึงแม้ในมือจะถืออาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ระดับการฝึกฝนก็สูงกว่าศิษย์หญิงผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้

และวิชานี้เป็นการนำพลังเวทย์ทั้งหมดที่มีถ่ายเทลงไปในกระบี่เพื่อใช้ในการฟาดฟันศัตรูที่แข็งแกร่ง ตอนนี้กลับนำมาใช้เหาะข้ามหุบเหว นับว่าใช้ความสามารถไม่เหมาะกับงานเลย

ถึงแม้แรงโน้มถ่วงในหุบเหวนั้นจะมีพลังที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อแสงกระบี่อันเย็นสะท้านกะพริบผ่านไปก็มีเสียงกระบี่ปะทะกับแรงโน้มถ่วงดัง “เปรี๊ยะๆ!” หลังจากที่ข้ามหุบเหวไปได้แสงเย็นสะท้านก็หายไป ร่างของศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ใบหน้างดงามของหญิงที่มีลักษณะห้าวหาญนางนี้ค่อยๆ ดูขาวซีดขึ้นมา ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเมื่อครู่นางใช้พลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่หลังจากที่หันมาดูหุบเหวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็นำกระบี่ใส่ฝักที่สะพายอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปยังพื้นที่ที่มีพายุหิมะ

……

บนอากาศอีกด้านหนึ่งของหุบเหว ชายสวมชุดคลุมสีเลือดกำลังค่อยๆ เดินอยู่บนอากาศ ทุกย่างก้าวของเขาจะมีแสงสีเลือดเปล่งประกายขึ้นมาบนร่าง ขณะเดียวกันก็มีดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกออกมารองรับเท้าของเขาไว้

ดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกค่อยๆ เกิดขึ้น แล้วก็แตกกระจายไป ชายชุดคลุมสีเลือดเดินไปยังฝั่งหุบเหวฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย พอเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เผยให้เห็นใบหน้าทระนงองอาจของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปี

ดวงตาทั้งคู่จ้องมองยอดเขายักย์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพายุหิมะด้วยสายตาอันเร่าร้อน

……

เสียงดัง “ฟู่!”

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงบนตัวหายไปในฉับพลัน เขารีบดึงโซ่สีดำในมือด้วยความดีใจแล้วก็ดีดตัวกระโดดออกไปราวกับคันธนูในระยะทางหนึ่งจั้งสุดท้าย จนมาปรากฏตัวบนเนินหินสีดำที่ถูกโซ่สีดำรัดไว้จนแน่น

เขาหันหน้ากลับไปดูหุบเหวตรงด้านหลัง ความรู้สึกที่ปวดร้าวไปทั้งตัวทำให้เขาเบะปากหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เก็บโซ่ดำและหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับก้าวยาวไปยังด้านหน้า

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาถึงขอบเขตบริเวณรอบพายุหิมะ เขากัดฟันก่อนที่จะเดินเข้าไปในนั้น

แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีพายุหิมะพัดปะทะบนใบหน้าเขา หลิ่วหมิงสะดุ้งขึ้นมาในทันที เขารู้สึกราวกับว่าถูกแช่แข็งไปทั้งตัว

ภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่างเขาในทันที และปกคลุมร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันพลังเวทย์ตรงทะเลจิตวิญญาณก็พรั่งพรูออกมาขับไล่ความเย็นออกไปจนหมด และยังเคลื่อนไหวไปตามเส้นชีพต่างๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างของเขายังคงรักษาอุณหภูมิเอาไว้ได้

หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ

สถานที่แห่งนี้พายุหิมะแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก และท่ามกลางพายุหิมะยังมีลูกเห็บขนาดเท่ากำปั้นปนเปอยู่ด้วยตลอด มันตกใส่ด้านหลังของเขาเสียงดัง “เปาะ!” “แปะ!”

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และใช้วิชาคุ้มกันร่างทั้งหมดไว้ เกรงว่าลำพังแค่ลูกเห็บเหล่านี้ก็ตีหัวเขาจนเลือดตกยางออกได้ อย่าได้คิดที่จะเดินไปต่อได้เลย

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่พายุหิมะพัดเข้ามาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก ราวกับว่าโลหิตในร่างเกาะตัวกันจนเป็นน้ำแข็ง

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือกระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

แต่ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ย่อมทำให้พลังเวทย์ของเขาสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว

ดีที่ว่าขอบเขตของพายุหิมะนี้ไม่ค่อยกว้างเท่าใดนัก ถึงแม้เขาจะต้องก้าวเดินทีละก้าวโดยไม่สามารถใช้วิชาทะยานเวหาได้ก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เดินต่อไปอีกสองสามลี้กว่าๆ ก็สามารถเกินออกมาจากพายุหิมะได้ในทันที

หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา และหยุดไอสีดำที่ออกจากร่างเขา จากนั้นก็มองไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ยอดเขาตรงหน้าแลดูแปลกประหลาดไปหน่อย! ดูจากด้านล่างของยอดเขานอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้วอย่างอื่นก็ดูปกติ แต่ด้านบนของยอดเขานั้นแบ่งออกเป็นยอดเขาแหลมเล็กขนาดต่างๆ จำนวนห้าลูก

มองออกไปไกลๆ ดูคล้ายกับฝ่ามือยักษ์ที่ชูขึ้นฟ้า

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ท่ามกลางพายุหิมะที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง เงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเยือกเย็น

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วมองออกไป

เงาร่างมนุษย์ยักษ์นั้น แท้จริงแล้วมันคือหุ่นวานรยักษ์ที่สูงสามจั้ง มันมีสีดำตลอดทั้งตัวราวกับว่าสร้างมาจากเหล็กบริสุทธิ์

“ศิษย์หุบเขาเก้าช่อง!”

หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนิกายปีศาจกับหุบเขาเก้าช่องก็ได้ทำความร่วมมือกันไว้แล้ว

แต่พอเขากวาดสายตามองซ้ายมองขวาแล้วก็เกิดความประหลาดใจและรู้สึกฉงนเล็กน้อย

จากนั้นวานรยักษ์ก็ส่งเสียงดังครั่นครืน แล้วยืนตัวตรงอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวยาวไปไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ต่อไป

ถึงแม้หุ่นตัวนี้จะเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยเร็วมากนัก แต่ทุกย่างก้าวของมันก็ไปได้ไกลถึงสองจั้งกว่าๆ ครู่เดียวก็หายเข้าไปในป่าเขาที่อยู่ไกลออกไป

หลิ่วหมิงหรี่ตามองไปยังทิศทางที่วานรยักษ์เดินไป จากนั้นก็ขยับตัวพุ่งไปยังทิศทางที่ค่อนข้างจะลาดเอียงเล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็หาโพรงไม้ว่างเปล่าตรงตีนเขาได้ เขาเอามือตบถุงหนังตรงเอว จากนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็โผล่ออกมาท่ามกลามไอสีเขียวอันพวยพุ่งในทันที มันใช้ก้ามทั้งสองลูบเท้าหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนมจากนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้นั่งขัดสมาธิลงไปในโพรงไม้อย่างวางใจ แล้วเริ่มต้นฟื้นฟูพลังเวทย์ขึ้นมา

เขานั่งอยู่ในโพรงไม้นานครึ่งวัน เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่เพียงแต่พลังเวทย์ในร่างจะฟื้นคืนมาดังเดิมเท่านั้น แต่ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าก่อนหน้านั้นมาก

เพราะสิ่งที่ประสบในหลายวันก่อนทำให้เขาต้องใช้พลังจิตไปไม่น้อย

เสียงดัง “ซู่!”

ไอสีเขียวพวยพุ่งอยู่ที่โพรงไม้ด้านนอก แมงป่องกระดูกขาวมุดตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วส่งเสียงเรียกหลิ่วหมิงราวกับว่ารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

หลังจากที่หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ถึงพบว่าก้ามของมันแต่ข้างต่างก็คีบผลึกหินจิตวิญญาณสีเขียวหยกก้อนหนึ่งไว้

“ผลึกหินไม้”

หลิ่วหมิงรับผลึกหินสีเขียวทั้งสองก้อนมาไว้ในมือแล้วตรวจดูเล็กน้อย แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ใช่บอกให้เจ้าเฝ้าอยู่แถวนี้หรือ? ไปเอาของเหล่านี้มาจากไหนกัน” ภายใต้ความตกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะถามแมงป่องกระดูกขาว

หลังจากที่เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาของมันเปล่งประกาย มันก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดินในฉับพลัน และครู่เดียวมันก็มุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับคีบผลึกหินสีเขียวออกมาอีกสองก้อน

“หรือว่าข้างล่างนี้จะมีผลึกหินธาตุไม้อยู่เป็นจำนวนมาก!” ครั้งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา