“ศิษย์นิกายข้าทั้งสิบคนที่เข้าไปในแดนลึกลับนั้น สหายเหลิ่งเยวี่ยก็เคยเห็นกับตามาแล้ว ท่านคิดว่ามีใครเข้าตาท่านบ้าง?” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็อึ้งไปทันทีแต่ก็รีบถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์คนอื่นๆ นั้นพูดยาก แต่ศิษย์สองคนที่มีใบหน้าคล้ายกันนั้นคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังจิตบางอย่างโดยเฉพาะใช่ไหม?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่ผิด! ข้าเองก็สนใจพวกเขาทั้งสอง ถึงแม้การฝึกฝนของทั้งสองจะยังตื้นเขิน แต่คลื่นพลังจิตที่แผ่ออกมานั้นศิษย์ทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้” อาจารย์อาเยี่ยนเองก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! พลังจิตที่ผิดปกติของสองพี่สองแซ่หลานนั้นไม่อาจปิดบังสหายทุกท่านได้ แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ไม่เพียงแต่จะมีพลังจิตแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ในการครอบงำจิต ดังนั้นวิชาที่พวกเขาฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาพลังจิตที่ร้ายกาจที่สุดของนิกายเอกะ” มู่หรงเซวี่ยนหัวเราะแล้วกล่าวด้วยสีหน้าทระนงองอาจ
“ครอบงำจิต? คือการรวมพลังจิตของคนหลายคนเข้าด้วยกันดังในตำนาน และคนๆ เดียวสามารถแสดงวิชาได้เทียบเท่ากับคนหลายคน!” สีหน้าเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“สหายเหลิ่งเยวี่ยมีความรู้กว้างไกลเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าครู่เดียวก็รู้วิธีการใช้ประโยชน์ของพลังนี้แล้ว แต่พลังเช่นนี้ใช้ได้กับพวกเขาแค่สองคนเท่านั้นไม่อาจครอบงำพลังจิตของคนอื่นๆ ให้มารวมกันได้” มู่หรงเซวี่ยนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พลังจิตของศิษย์นิกายเอกะทั้งสองนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก ถ้าสามารถแสดงเคล็ดวิชาการครอบงำจิตได้อีกล่ะก็ ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันก็ไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ มิน่าล่ะสหายมู่หรงยอมจ่ายค่าตอบแทนเป็นอย่างมากเพื่อโอกาสในการเข้าแดนลึกลับนี้ ไม่ทราบว่านิกายของท่านหาศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่อนี้มาได้อย่างไร” หลวงจีนหลิงอวี้ถอนหายใจกล่าวอย่างฉิจฉา
“พี่หลิงอวี้กล่าวผิดแล้ว นิกายเอกะของพวกเราไม่ได้เป็นคนเสาะหาพี่น้องตระกูลหลานนี้ แต่พวกเขาเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสองสามรุ่นก่อนนั้นที่บากหน้านำสิ่งของมายืนยันตัวตน และมาอยู่นิกายของพวกเราได้ไม่ถึงปีกว่าๆ เมื่อตอนที่เข้ามานั้นพวกเขาก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำของนิกายเราได้อย่างง่ายดาย” มู่หรงเซวี่ยนส่ายหน้ากล่าวออกมา
“บากหน้ามาเอง? นิกายเอกะได้ของล้ำค่าจริงๆ!” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวพึมพำ โดยที่ไม่สามารถปิดบังความอิจฉาที่ปรากฏบนใบหน้าได้
ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงศิษย์หญิงนิกายปีศาจที่มีร่างละเมอฝันอย่างเจียหลาน
ถ้าร่างละเมอฝันของเจียหลานเผชิญหน้ากับศิษย์นิกายเอกะทั้งสองล่ะก็ ร่างละเมอฝันไม่เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขา แต่ยังอาจจะถูกควบคุมไปด้วย
“เฮ่อๆ! นี่ก็กล่าวได้ว่านิกายของเราดวงดีมาก ถึงได้มีศิษย์เช่นนี้มาขอเข้านิกายเอง” มู่หรงเซวี่ยนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
คนอื่นๆ สบตากันสักพักแล้วต่างก็รู้สึกเป็นห่วงศิษย์ของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยวิชาครอบงำจิตของสองพี่น้องตระกูลหลาน ถ้าหากแสดงเคล็ดวิชาพลังจิตที่มีอานุภาพร้ายแรงออกมา มันก็เพียงพอที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ในลักษณะที่ไร้ตัวตนได้ ซึ่งใครก็ไม่อาจบอกได้ว่าศิษย์ในนิกายของตนจะสามารถต้านทานมันได้
……
สองวันต่อมา บริเวณด้านล่างหน้าผาสูงชันตรงเชิงยอดเขาใหญ่ เจียหลานจ้องมองศิษย์หนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่ในตาของนางมีแสงสีม่วงหมุนวนอยู่ไม่หยุด
ชายผู้นั้นถือกระบี่ยาวสีเงินยืนจ้องมองเจียหลานโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่การแสดงออกบนใบหน้าเดี๋ยวก็ยิ้มแหยๆ เดี๋ยวก็กัดฟันกรอดๆ กระบี่ยาวในมือเขาเดี๋ยวก็ยกขึ้นเดี๋ยวก็วางลง ราวกับว่ามีคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหยดเหงื่อโผล่ขึ้นมาบนหน้าผากเจียหลาน แต่หลังจากส่งเสียงฮัดฮัดออกมาแล้ว แสงสีม่วงในตาทั้งสองกลับเข้มขึ้นมากกว่าเดิม ถ้ามองดูอย่างละเอียดจะพบว่าในส่วนลึกของลูกตาทั้งสองจะมีอักขระขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏอยู่ลางๆ
ร่างของชายนิกายจันทราสวรรค์เริ่มสั่นสะท้านก่อนที่จะยิ้มแหยๆ ออกมา จากนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าในแบบอื่นออกมาอีกเลย เขาค่อยๆ ยกกระบี่ยาวขึ้น สุดท้ายก็มาจี้อยู่บนต้นคอของตนเอง
สีหน้าของเจียหลานไร้ความรู้สึก แต่ก็คำรามเสียงต่ำออกมาในฉับพลัน
เสียงดัง “ตุ๊บ!”
ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ใช้กระบี่ยาวตัดศีรษะตนเองจนหลุดจากบ่า
ร่างไร้ศีรษะล้มลงบนพื้น แต่ศีรษะกลิ้งไปบนพื้นได้สองสามรอบก็หยุดลง แต่ใบหน้ายังยิ้มแหยๆ เช่นเดิม
เจียหลานถอนหายใจยาวออกมา แต่แก้มทั้งสองข้ามกลับมีสีแดงเข้มผิดปกติ นางรีบหยิบเม็ดโอสถสีฟ้าใส่ปากกลืนลงไป
จากนั้นแสงสีม่วงในตาทั้งสองก็จางหายไป นางกลับมาเป็นดรุณีน้อยธรรมดาที่สวยสดงดงามตามเดิม นางรีบนั่งขัดสมาธิลงเพื่อกำหนดลมหายใจเข้าฌานโดยไม่สนใจสิ่งใด จนเมื่อชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เจียหลานถึงได้ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
เขาจ้องมองร่างไร้ศีรษะก่อนที่จะส่ายหน้า แล้วก็จ้องมองไปยังต้นหญ้าเล็กสีเหลืองทองต้นหนึ่งที่อยู่บนหน้าผาสูง
ก่อนหน้านั้นที่ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์โจมตีนางแบบไม่ทันตั้งตัวก็เพื่อหญ้าหอกทองคำในตำนานต้นนี้
……
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงปรากฏตัวบริเวณเนินเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขายักษ์ เขาเงยหน้ามองเขาสูงชันที่เป็นเส้นแนวดิ่งจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
หลายวันนี้เขาค้นหาพืชหญ้าจิตวิญญาณจากบริเวณด้านล่างของเขายักษ์ และเก็บเกี่ยวมาได้ค่อนข้างมาก ในระหว่างนั้นยังฆ่าปีศาจอสูรไปสองสามตัว แถมยังพบกับศิษย์นิกายอื่นๆ หลายครั้ง
แต่ต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกันจึงไม่มีใครคิดจะลงมือ และพวกเขาต่างก็ทำเป็นมองไม่เห็นกันและกัน
เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้เข้าใจดีว่าคนที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงบนเขาได้ คงไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแออย่างแน่นอน
ถ้ายังไม่มีความมั่นใจ ต่างก็ย่อมไม่กล้าหลับหูหลับตาไปหาเรื่องอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
พอเห็นว่ามีเวลาเหลือไม่ค่อยมากแล้ว หลิ่วหมิงถึงได้ออกไปจากหุบเขาเล็กๆ ที่มีพืชจิตวิญญาณค่อนข้างมากเพื่อขึ้นไปด้านบนอย่างน่าเสียดาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา