“ดี! เมื่อวานข้าขึ้นเขาไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวแล้ว พบว่าปีศาจวานรเหล่านั้นระวังตัวกันมากกว่าเดิม ถ้าใช้วิธีการธรรมดาเกรงว่าไม่อาจล่อพวกมันออกมาได้โดยง่าย ดังนั้นข้ากับพี่อวิ๋นได้ปรึกษากันว่าครั้งนี้จะต้องเสี่ยงเพื่อเอาชัยชนะมาให้ได้” หยางเฉียนค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“เสี่ยงเอาชัยชนะ? พี่หยางหมายถึง…” ดูเหมือนจินอวี่จะยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ง่ายมาก ในเมื่อไม่มีวิธีแยกปีศาจวานรตนอื่นให้ออกจากปีศาจวานรขนทองตนนั้นได้ พวกเราก็ล่อพวกมันให้ลงเขามาพร้อมกันแล้วจัดการมันทั้งหมด!” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พี่หยางพูดล้อเล่นแล้ว ปีศาจวานรขนทองตนนั้นร้ายกาจเช่นนี้ ถ้าหากทั้งสี่ตนรวมตัวกันล่ะก็ พวกเราจะสังหารมันพร้อมกันได้อย่างไร” จินอวี่ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ใครบอกว่าจะสังหารมันพร้อมกันทีเดียว ที่ข้าบอกว่าจะจัดการทั้งหมดนั้นมันมีลำดับขั้นตอน ก่อนอื่นหาวิธีให้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นถูกกักอยู่อีกที่หนึ่ง รอพวกเราสังหารปีศาจวานรที่เหลืออีกสามตนก่อน แล้วค่อยรวมพลังกันรับมือกับมันเป็นในตอนสุดท้าย ถึงแม้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นจะร้ายกาจ แต่ถ้าพวกเราสี่คนร่วมมือกันล่ะก็ มันเหลือเฟือต่อการรับมือกับมันแล้ว” ชายหน้าดำหัวเราะกล่าวออกมา
“วิธีการไม่เลว แต่ทำอย่างไรถึงจะกักขังปีศาจวานรขนทองได้ ปีศาจวานรเหล่านี้ต่างก็มีพลังมหาศาล กับดักธรรมดาคงเอาไม่อยู่” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“แน่นอนว่าใช้วิธีการธรรมดาไม่ได้ ที่ข้ามีธงค่ายกลมายาพลังหยินทั้งหก เพียงแค่ปักมันไว้ล่วงหน้าก็คงจะกักขังปีศาจวานรขนทองตนนั้นไว้ได้นานราวๆ ครึ่งเค่อ ดูตามผลการต่อสู้ของพวกเราเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่นี้ก็เพียงพอให้เราสังหารปีศาจวานรสามตนแล้ว เช่นนี้แล้วศิษย์น้องยังมีข้อคัดค้านอื่นอีกไหม?” หยางเฉียนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“พี่หยางได้พกธงค่ายกลมาด้วยช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ศิษย์น้องเองก็วางใจแล้ว” จินอวี่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
อาวุธประเภทค่ายกลอย่างธงค่ายกล แผ่นค่ายกลนั้น ผู้ฝึกฝนที่ไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลก็สามารถวางค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ราคามันก็สูงจนยากจะคาดเดาได้ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นชุดค่ายกลง่ายๆ ราคามันก็สูงกว่าอาวุธจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
แต่เพราะว่าค่ายกลง่ายๆ นั้น ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปก็สามารถทำลายได้โดยง่าย มันเหมาะสมแค่ใช้ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ด้วยเหตุนี้อาวุธค่ายกลจึงเป็นสิ่งที่มีราคาสูงมาก แต่เป็นของฟุ่มเฟือยที่มีข้อจำกัดในการใช้งานเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณกลังเลที่จะซื้อมัน
หยางเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่กลับมีธงค่ายกลติดตัว ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
“ในเมื่อมีค่ายกลล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ” หลังจากมีประหลาดใจเกิดขึ้นในแววตา หลิ่วหมิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าจะไปวางค่ายกลในป่าดงดิบบริเวณนี้ กลับมาข้ากับพี่อวิ๋นจะไปล่อพวกมันออกมา พวกเจ้าแค่ดักซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็พอแล้ว พอเพียงครั้งนี้ทำสำเร็จพวกเราก็จะได้เก็บเกี่ยวทรัพยากรทั้งหมดบนเขาลูกนี้” หยางเฉียนกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
พอได้ยินคำพูดนี้ ชายหน้าดำก็หัวเราะเฮ่อๆ! จินอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลิ่วหมิงกลับยิ้มเพียงเล็กน้อย
เวลาต่อมา พวกเขาก็เดินออกไปจากถ้ำหิน ขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกล
ขณะเดียวกัน บนอากาศเหนือยอดเขาอีกลูกหนึ่ง สัตว์ประหลาดชายหญิงสองคนที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นหางปลากำลังควบคุมคลื่นยักษ์ต่อสู้กับอสรพิษสีเขียวที่มีหงอนสีเงินอยู่ตรงหัวอย่างดุเดือด
ชายหญิงรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาทั้งสองนี้ ถ้าดูจากท่อนบนแล้วพวกเขาก็คือสองพี่น้องตระกูลหลานที่มู่หรงเซวี่ยนกล่าวถึง
แต่ตอนนี้มีคลื่นน้ำสีฟ้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหมุนวนอยู่รอบตัวพวกเขา อักขระสีน้ำเงินไม่ทราบชื่อจำนวนมากโผล่ออกมาตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงแขนทั้งสอง ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และดวงตาทั้งสองของอสรพิษยักษ์สีเงินมีสีแดงเลือด ปากของมันพ่นไอสีเขียวออกปาก หงอนบนหัวก็กลายเป็นสีเงินแพรวพราวดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งศรวารีจำนวนมากก็พุ่งยิงเข้าใส่อสรพิษยักษ์ราวกับฝนตก บางครั้งอสรพิษยักษ์ก็อ้าปากพ่นพายุบ้าระห่ำสีเขียวอ่อนออกไปโจมตีคลื่นน้ำจนแตกกระจาย
ทั้งสามต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะตัดสินแพ้ชนะได้
และพื้นที่ลุ่มต่ำเร้นลับแห่งหนึ่ง ก็มีซากของค่ายกลสีฟ้าที่ถูกทำลายจนเสียหาย กับศพของอสรพิษหงอนเงินขนาดเล็กสองตน
……
เจียหลานก้มตัวลงใจกลางบ่อน้ำ ใช้คทาหยกเคาะดอกบัวสีฟ้าเบาๆ
ทันทีที่ดอกไม้จิตวิญญาณนี้เปล่งแสงสีฟ้าสั่นไหวมันก็ลอยหลุดออกมาจากก้าน แล้วค่อยๆ ตกลงไปในกล่องหยกที่ได้เตรียมไว้
เจียหลานปิดฝากล่องหยก แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวัดระวัง จากนั้นก็หันไปมองศพของอสูรน้อยทั้งสามที่นอนนิ่งอยู่ด้านข้าง แล้วก็ถอนหายใจก่อนที่จะล่องลอยออกไป
……
ในกองหินกลุ่มหนึ่ง เฟิงฉาน เกาชงและศิษย์จิตวิญญาณอีกเจ็ดคน ต่างก็ล้อมโจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนั้นอยู่ไม่หยุด
แต่ครั้งนี้สองในเก้าคนนั้นเปลี่ยนมาเป็นศิษย์นิกายวาตอัคคีแซ่เถียนที่ถือพัดใบลานในมือกับเฉียนฮุ่ยเหนียง อสูรตนนี้ยังคงดุร้ายเช่นเดิม สายฟ้าสีน้ำเงินบนตัวก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ปากก็พ่นลูกไฟออกไปรอบด้าน
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ล้อมโจมตีทั้งเก้าคนในครั้งครั้งนี้ ดูสงบเยือกเย็นกว่าก่อนหน้านั้นมาก พอมีทะเลเพลิงปรากฏขึ้นบริเวณนั้น ชายแซ่เถียนก็ค่อยๆ โบกพัดใบลานจนดับไฟได้ทั้งหมด
ส่วนสายฟ้าที่ปกป้องตัวของอสูรสิงห์พยัคฆ์ก็เริ่มถูกผู้คนแสดงไม้เด็ดออกมาโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้เกิดบาดแผลขนาดต่างๆ บนตัวของมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา