ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 128

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 128 กำจัดวานร (3)
ตอนที่ 128 กำจัดวานร (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่เลว ลำพังแค่ความเร็วก็คงจะเร็วกว่าตอนที่เพิ่งเข้าแดนลึกลับสามเท่าขึ้นไป” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ

นี่ก็แปลก!

ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการใช้เคล็ดวิชาใดๆ เข้าช่วย ถ้าหากใช้เคล็ดวิชาอื่นๆ เข้าช่วย ความเร็วคงอยู่ในระดับที่ยากจะเชื่อได้

มิน่าล่ะ! หญ้าลอยฟ้านั้นถึงถูกจัดอยู่ในวัตถุจิตวิญญาณระดับต้นๆ ที่แท้ผลลัพธ์มันน่าตะลึงเช่นนี้เอง

แต่หญ้าชนิดนี้ดูเหมือนจะยังมีผลในการต้านพิษ และทำให้จิตใจสงบด้วย ผลลัพธ์ทั้งสองนี้จะเป็นอย่างไรนั้นกลับเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ คงจะต้องรอดูตอนที่เผชิญกับปัญหาที่เกี่ยวข้อง ถึงจะแสดงผลให้เห็นได้อย่างชัดเจน!

หลิ่วหมิงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้

เวลาต่อมา เขาเองก็ไม่คิดที่จะอยู่ในถ้ำหินอีกต่อไป จึงได้เก็บสิ่งของที่อยู่ข้างกายเล็กน้อยแล้วก็ออกไปอย่างไม่รีบร้อน

……

บริเวณยอดเขาที่ตั้งดิ่ง แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งกำลังวนล้อมรอบยอดเขาอยู่ วิหคปีศาจสีดำมืดสองตนตามอยู่ด้านหลัง มันกระพือปีกทั้งสี่ไล่ล่าอยู่ไม่หยุด

พริบตาเดียวทั้งสามก็วนรอบยอดเขาไปมากกว่าเจ็ดถึงแปดรอบ และบินลงมาตรงตีนเขาโดยไม่รู้ตัว และต่อมาก็ดูเหมือนกับว่ามันใกล้จะจับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้แล้ว

ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดของหญิงสาวดังออกมาจากแสงสีขาว วิหคปีศาจทั้งสองตนดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดอะไรบางอย่าง ทันทีที่มันส่งเสียงร้องแหลมออกมาก็กระพือปีกอย่างบ้าคลั่งถึงหลบหลีกแสงเย็นสะท้านไปได้

ขณะนั้นเอง แสงสีเลือดลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาจากหน้าผาสูงชันที่ดูว่างเปล่าบริเวณนั้น และยังเปล่งประกายกลายเป็นดาบยักษ์สีเลือดขนาดยาวหลายจั้งฟันเข้าใส่วิหคปีศาจตัวที่ค่อนข้างเล็ก

วิหคปีศาจตนนั้นรีบกระพือปีกด้วยความตกใจ บังเกิดเสียงดัง “พับๆ” ขนวิหคขนาดใหญ่พุ่งออกไปราวกับฝนตก

หลังจากที่มีเสียงระเบิดดังออกมาติดต่อกัน แสงสีเลือดที่สัมผัสกับขนวิหคก็มันโดนเจาะทะลุเป็นรูจำนวนมาก แต่แสงสีเลือดส่วนทีเหลือก็ยังคงพุ่งเข้าไปฟันวิหคยักษ์ตัวที่ค่อนข้างเล็กอยู่ไม่หยุด

เสียงดัง “ตู้ม!” วิหคปีศาจอีกตนหนึ่งพุ่งเข้ามา มันสะบัดปีกข้างหนึ่งเข้าใส่แสงสีเลือดจนแตกกระจาย

แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเยือกเย็นดังออกมาจากแสงกลมๆ สีขาวที่อยู่ไกลๆ

“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง”

เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดลง เงาร่างพร่ามัวในแสงกลมๆ สีขาวก็ดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว จากนั้นแสงเย็นสะท้านก็ม้วนตัวเข้าไปหาวิหคปีศาจทั้งสอง

ยังไม่ทันที่แสงนี้จะเข้าไปถึง วิหคปีศาจยักษ์ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ มันรีบกระพือปีกอย่างบ้าคลั่งเพื่อหลบหลีก แต่ขณะนั้นเองแสงสีเลือดที่เดิมทีถูกโจมตีจนแตกกระจายก็ลางเลือนกลายเป็นไหมสีเลือดพันรอบตัวของมันไว้อย่างรวดเร็ว และแน่นหนาจนมันไม่สามารถขยับตัวได้

ไม่นานแสงเย็นสะท้านก็พุ่งผ่านตัวของวิหคปีศาจยักษ์ไป และหลังจากที่มันหมุนวนหนึ่งรอบ ก็เข้าไปพันตัววิหคปีศาจตัวที่เล็กกว่าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

เมื่อแสงกระบี่แพรวพราวได้ดับลง ก็ปรากฏหญิงสาวสวมชุดนิกายจันทราสวรรค์อยู่บนอากาศ

มือของนางถือกระบี่หิมะขาวอยู่ สีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้นางสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก

ขณะนี้เลือดบนตัวของวิหคปีศาจทั้งสองเพิ่งจะพุ่งออกมา ขณะเดียวกันร่างของพวกมันก็กลายเป็นสี่ส่วนก่อนที่จะร่วงลงไป

“ศิษย์น้องจางช่างเก่งกาจยิ่งนัก เหยี่ยวขนเหล็กนี้มีขนเหล็กทั้งตัว แม้แต่ดาบโลหิตของข้าก็โดนมันทำลายอย่างง่ายดาย แต่มันกลับถูกกระบี่ของศิษย์น้องจัดการได้พร้อมกันในทีเดียว ว่าแต่ศิษย์น้องไม่เป็นไรใช่ไหม สีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย!” หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาบนหน้าผาสูงชัน ชายสวมชุดคลุมสีเลือดผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาจากในนั้นแล้วกล่าวกับหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าอยากลองดูไหมล่ะ ว่าตอนนี้ข้าจะยังแสดงเคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งได้ไหม?” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

“เฮ้อ…ศิษย์น้องคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ถามเท่านั้น แต่พวกเราใช้เวลาไปนานขนาดนี้ก็ยังนับว่ากำจัดเหยี่ยวขนเหล็กไปได้ครึ่งหนึ่ง ทีนี้ก็เหลืออีกแค่สองตนที่อยู่บนเขาแล้ว รอศิษย์น้องพักผ่อนจนหายดีแล้ว พวกเราบุกขึ้นเขาไปจัดการพวกมันให้สิ้นซากในทีเดียวดีหรือไม่?” เซวี่ยชื่อรีบถามกลับไปด้วยตาที่เป็นประกาย

“พลังของเหยี่ยวขนเหล็กที่เหลืออีกสองตนนั้นแขงแกร่งกว่าสองตนนี้มาก ถ้าเจ้าสามารถรับมือกับมันได้ตนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการกับตนที่เหลือ” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ชายตามองชายหนุ่มชุดคลุมสีเลือดปร้าดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ศิษย์น้องจางล้อข้าเล่นแล้ว เหยี่ยวขนเหล็กเมื่อครู่นั้นข้ายังไม่มีปัญญาจัดการมันได้ สองตนที่อยู่บนเขานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง” เซวี่ยชื่อได้ยินก็ยิ้มขมขื่นออกมา

“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าพูดเรื่องบุกขึ้นเขาไปสังหารมันเลย การรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กอีกสองตนที่เหลือนั้น ต้องค่อยๆ วางแผนกันยาวๆ แต่ก่อนอื่นข้าต้องฟื้นฟูพลังเวทย์โดยด่วน” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา จากนั้นก็พุ่งทะยานไปยังป่าเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป โดยไม่สนใจอะไรทิ้งสิ้น

ชายชุดคลุมสีเลือดมองดูเงาร่างของหญิงสาวที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง แต่หลังจากที่มีประกายแปลกประหลาดเปล่งขึ้นมาในแววตา เขาก็ก้าวยาวไปยังทิศทางตรงกันข้าม

ใต้ยอดเขาสูงสุดที่ตั้งอยู่ตรงกลางของยอดเขาทั้งหมด เฟิงฉาน เกาชง และศิษย์จิตวิญญาณอีกเจ็ดคนกำลังรวมพลังรับมือกับอสูรยักษ์แปลกประหลาดตนหนึ่ง

อสูรตนนี้มีหัวเป็นสิงห์ร่างเป็นพยัคฆ์ ลำตัวยาวห้าจั้ง มีเกล็ดสีฟ้าปกคลุมไปทั่ว ขณะเดียวกันบนหลังยังมีปีกสีแดงม่วงอยู่คู่หนึ่ง ปากของมันพ่นลูกไฟขนาดเท่าปากถ้วยออกไปเป็นจำนวนมาก จนพื้นที่รอบตัวของมันกลายเป็นทะเลเพลิงอันร้อนระอุ ผู้คนที่ล้อมโจมตีอยู่ก็หน้าเสียขึ้นมา

และไม่ว่าผู้ที่ล้อมรอบจะใช้วิชาอาวุธใดๆ โจมตีก็ตาม เมื่อมันเข้าใกล้อสูรแปลกประหลาดฉื่อกว่าๆ ก็จะถูกสายฟ้าสีฟ้าโจมตีจนกระแตกกระจาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา