สรุปตอน ตอนที่ 141 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
ตอน ตอนที่ 141 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้เซวี่ยนู่จะมีความสามารถรอบด้าน แต่ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ แม้แต่หมอกโลหิตคุ้มกายก็ไม่สามารถเรียกออกมาได้ทัน ดังนั้นต้นคอของเขาจึงถูกลิ้นสีแดงม่วงเจาะทะลุเข้าไป แม้แต่คอหอยก็ถูกตัดขาดจนไม่สามารถส่งเสียงร้องเวทนาออกมาได้ ทำได้เพียงแต่เขวี้ยงดาบเล็กสีเลือดในมือออกไปอย่างรุนแรง จากนั้นก็ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
เสียงดัง “เต๊ง!”
‘สือชวน’ แค่ใช้นิ้วสะกิดไปยังด้านหน้าเล็กน้อย ดาบก็กระเด็นออกไป จากนั้นก็เผยสีหน้าชั่วร้ายออกมา เขาขยับตัวกลายเป็นแสงสีแดงกระโจนเข้าใส่เซวี่ยนู่
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนพื้นก็ปรากฏศพที่ถูกฉีกเป็นสองส่วน และถูกกัดไปบางส่วน ขณะเดียวกันสิ่งของบนตัวต่างก็ถูกค้นเอาไปจนหมดสิ้น
สองชั่วยามผ่านไป เมื่อศิษย์หญิงนิกายเอกะผ่านมาแถวนี้แล้วได้กลิ่นคาวเลือด นางก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และก็จากไปอย่างรวดเร็ว
……
ครึ่งวันผ่านไป ในเขตบึงแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่มีร่างบึกบึนผู้หนึ่งที่เพิ่งจะบังคับหุ่นฆ่าปีศาจอสูรที่มีรูปร่างคล้ายจิ้งจอกได้ ขณะที่กำลังไปรับเอาสิ่งของที่ได้จากชัยชนะนั้น พลันรู้สึกมีคลื่นร้อนๆ ม้วนตัวมาตรงหลัง จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่ทรวงอกก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะดำมืดจนไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใดๆ
……
หนึ่งวันผ่านไป ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีถือน้ำเต้าสีเขียวอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของป่าดงดิบ เขากำลังปล่อยพายุสีเขียวขนาดใหญ่โจมตีชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจนต้องถอยเป็นระยะๆ และไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
ขณะที่ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีกำลังหัวเราะด้วยความชะล่าใจนั้น พลันมีเงาร่างมนุษย์เคลื่อนไหวมาจากป่าดงดิบบริเวณใกล้ๆ และเงาร่างสีแดงจางๆ ก็โจมตีเข้าใส่พวกเขาทั้งสองอย่างไม่คาดคิด
ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีก็นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน แต่ตอนนี้สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทางน้ำเต้าสีเขียวไปทางเงาร่างสีแดงที่กำลังพุ่งเข้ามา
เสียงดัง “ฟู่!”
พายุบ้าระห่ำได้บังเกิดขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา โซ่ยาวสีเขียวโปร่งแสงเส้นหนึ่งเข้าไปรัดเงาร่างสีแดงไว้แน่น
“ฮึ! เจ้ากล้าซุ่มจู่โจมข้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่ได้ป้องกันตัว…ไม่ใช่สิ! เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!” เดิมทีชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีกล่าวด้วยความทระนง แต่พอเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาร่างสีแดงจางๆ ที่ถูกโซ่ยาวสีเขียวรัดไว้แน่นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ตกใจจนหลุดปากออกมา
สิ่งที่ถูกรัดพันอยู่ในโซ่สีเขียวนั้น เป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นมังกรร่างเป็นมนุษย์ และมีเกล็ดสีแดงอยู่เต็มไปทั่วร่าง
หลังจากสัตว์ประหลาดนี้ก้มหน้ามองเชือกยาวสีเขียวบนร่างแล้วก็แสยะปากพร้อมกับออกแรงที่แขนทั้งสอง เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมาจากร่างในทันที พริบตาเดียวเชือกยาวสีเขียวก็อันตรธานหายไป
ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง เขากระตุ้นน้ำเต้าสีเขียวในมืออย่างรวดเร็ว คมวายุสีเขียวสิบกว่าเส้นพุ่งออกไปในทันที ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วพุ่งถอยไปอย่างรวดเร็ว
แต่สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งมังกรแค่สะบัดไหล่เบาๆ ร่างของมันก็เลือนลางหายไป คมวายุทั้งหมดพุ่งโดนแต่ความว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน ก็มีคลื่นอากาศสั่นไหวบริเวณด้านหน้าของชายหนุ่มนิกายวาตอัคคี ก่อนที่สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรจะโผล่ออกมาราวกับปีศาจ
ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีตกใจเป็นอย่างมาก เขาคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
สัตว์ประหลาดแสยะปากก่อนที่กระโจนไปยังด้านหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แขนทั้งสองโอบรัดชายหนุ่มไว้แน่นราวกับเหล็ก มันเอนศีรษะกัดต้นคอกว่าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มและใช้คมเขี้ยวอันแหลมคมฉีกออกมาในทันที
“ไม่…”
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องอย่างเวทนาออกมาได้เพียงครึ่งเดียวต้นคอกว่าครึ่งหนึ่งก็หายไปแล้ว โลหิตสดๆ ไหลพรั่งพรูออกมา ครึ่งหนึ่งเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาด อีกหนึ่งหนึ่งกลับสาดกระเด็นไปทั่วทิศ
ร่างของชายหนุ่มกระตุกเพียงไม่กี่ครั้งในอ้อมแขนของสัตว์ประหลาด จากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ อีกเลย
ตอนนี้สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรถึงได้คลายปากออกมา แล้วมองไปยังชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิต
ตอนแรกชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ก็ตกใจจนอ้าปากค้างอยู่แล้ว แต่พอเห็นสัตว์ประหลาดมองมาที่ตนเองด้วยความโหดเหี้ยม เขาก็ตกใจจนตัวสั่นระริก และรีบหมุนตัววิ่งหนีไปทางด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง
สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรเพียงแค่จ้องมองชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่วิ่งหนีไปอย่างเยือกเย็นโดยไม่ไล่ตามไป แต่กลับก้มหน้าดูดโลหิตของศพที่อยู่ในอ้อมแขนต่อ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อมันคลายแขนออก ศพของชายหนุ่มก็อ่อนยวบยาบและตกลงไปบนพื้น จากนั้นมันก็แหงนหน้าแผดเสียงยาวออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
เสียงนี้แหลมและเศร้ากำสรดเป็นพิเศษราวกับว่าพุ่งทะลุไปยังเก้าชั้นฟ้า ปีศาจ และมนุษย์ที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ศิษย์นิกายต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ได้ยินเสียงแผดร้องอันน่าตกใจนี้ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
พอชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่กำลังวิ่งหนีอยู่ได้ยิน ก็อยากจะให้ตัวเองมีขาเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่ขาใจจะขาด และพยายามวิ่งหนีให้ไกลจากเสียงแผดร้องอย่างสุดชีวิต
“ฟิ้ว!”
หางมังกรสีแดงม่วงงอกยาวออกมาจากบั้นท้ายของสัตว์ครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร และหลังจากที่มันแกว่งไปตามลมแล้วก็หวดไปยังพื้นบริเวณใกล้ๆ
หลังจากที่พื้นดินสั่นสะเทือน หลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้น
วัตถุจิตวิญญาณเพิ่มพลังเวทย์ที่มีผลลัพธ์เช่นนี้ ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แน่นอนว่าโลกภายนอกมันถูกผู้ฝึกฝนเก็บไปจนหมดแล้ว
ที่มีอยู่ก็เหลือน้อยมาก พอผู้ฝึกฝนค้นพบก็เสียดายไม่กล้าที่จะกินมัน แต่กลับมอบให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงเป็นโอสถที่หาได้ยากยิ่ง
ผลลัพธ์การเพิ่มพลังเวทย์ของมันกลับเป็นเรื่องรองเสียแล้ว
เพราะการเพิ่มพลังเวทย์ของพืชจิตวิญญาณต้นหนึ่ง บางทีก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนอย่างหนักไม่กี่เดือนเท่านั้น และโอสถล้ำค่าหายากที่ใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ กลับสามารถช่วยตนเองตอนเจอปัญหาคอขวดหรือช่วยชีวิตได้หลายครั้ง
หลิ่วหมิงสัมผัสถึงพลังเวทย์ที่เต็มเปี่ยมภายในร่าง แล้วก็คำนวนเวลาอยู่ในใจเงียบๆ ดูเหมือนว่าเหลือเวลาอยู่ในแดนลึกลับไม่กี่วันแล้ว ควรจะออกเดินทางไปปากทางเข้าแดนลึกลับได้แล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล เขาก้าวยาวๆ ออกไปจากโพรงไม้และสังเกตดูบรรยากาศบริเวณรอบๆ ก่อนที่จะทำท่ามือร่ายคาถาออกมา
เสียงดัง “ซู่!”
แมงป่องกระดูดขาวมุดขึ้นมาจากพื้นดิน และใช้ก้ามด้านหน้าแตะที่ปลายกางเกงของเขาอย่างสนิทสนม
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย เขาก้มลงลูบก้ามของแมงป่องกระดูกขาวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้มือตบไปยังถุงหนังตรงเอวก่อนที่จะมีแสงสว่างม้วนตัวออกมา มันย่อส่วนแมงป่องกระดูกขาวแล้วดูดเข้าไปในนั้น
จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นเข็มทิศออกมาจากอก หลังจากที่สังเกตดูเส้นทางที่มีเครื่องหมายกำกับไว้แล้วก็เก็บมันเข้าไปไว้ที่เดิม เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นและกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยออกไปยังที่ไกลๆ
สามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่กำลังกระโดดไปตามกิ่งไม้ต่างๆ พลันหยุดฝีเท้าลงและส่งเสียงร้อง “เอ๊ะ?” หลังจากที่กวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว จึงได้ลอยลงมาจากกิ่งไม้
สถานที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีซากศพปีศาจอสูรขนาดใหญ่สูงจั้งกว่าๆ หางของมันแวววาว มือเท้าทั้งสี่หนาผิดปกติ มันคือหมียักษ์สีน้ำตาล ซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยหยดเลือด เหมือนกับว่ามันไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว
หลิ่วหมิงเดินวนดูหมีสีน้ำตาลไปสองรอบ แล้วมองดูต้นไม่บริเวณรอบๆ! ที่ถูกพลังมหาศาลผลักล้มลงไป กับรอยเท้าจำนวนมากที่ปรากฏอยู่แถวนั้นแล้วก็พลันยกเท้าขึ้นมา
“ตุ้บ!” ซากศพของหมียักษ์ถูกเตะพลิกขึ้นมา เผยให้เห็นถึงรู้เลือดขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นบนต้นคอ กับใบหน้าหวาดกลัวก่อนตาย
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ หลังจากที่ดวงตาเป็นประกาย เขาก็พลันก้มลงหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากฝ่ามือหมียักษ์
มันคือเกล็ดมังกรสีแดงม่วงนั่นเอง!
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา