หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ แล้วรีบรับกล่องหยกมาอย่างใจจดใจจ่อก่อนที่จะเปิดฝาของมันออกในทันที
กล่องหยกใบหนึ่งบรรจุขวดหยกสีดำราวกับหมึก ส่วนกล่องหยกอีกใบกลับบรรจุแผ่นป้ายสีเงินจางๆ บนนั้นมีอักษรคำว่า “จิตวิญญาณ” สลักไว้
“นี่คือ…” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้างงงวยอย่างอดไม่ได้
กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้กลับยิ้มน้อยๆ และอธิบายออกมา
“ศิษย์หลานไป๋ ของทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ในตอนที่ทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าหากใช้แต้มคุณูปการแลกล่ะก็ต้องมีถึงหลักหมื่นแต้ม ไม่อย่างนั้นก็อย่าแม้แต่จะคิดที่จะได้มันมาครอบครอง ในขวดหยกสีดำนี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์ ถ้าอยากจะควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้เป็นปราณแข็งแกร่ง แล้วกลั่นปราณแข็งแกร่งที่ปกป้องร่างออกมาเพื่อเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณจะขาดของสิ่งนี้ไปไม่ได้ ส่วนแผ่นป้ายนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในการเข้าบ่อจิตวิญญาณของนิกายเรา ในเมื่อมันเป็นแผ่นป้ายสีเงินก็แสดงว่าเจ้าสามารถเข้าไปในนั้นได้หนึ่งเดือน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณอาจารย์อาจาง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเก็บของทั้งสองสิ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“ศิษย์น้องจาง สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายต้องได้รับอยู่แล้ว มันคนละอันกับของรางวัลที่เจ้าว่าใช่ไหม” จูชื่อยิ้มและกล่าวแทรกขึ้นมา
“ศิษย์น้องจูอย่างเพิ่งใจร้อนไป นอกจากของเหล่านี้แล้วย่อมมีของรางวัลอื่นๆ อีก สำหรับศิษย์หลานไป๋ นิกายเรายังมอบแต้มคุณูปการเป็นรางวัลให้เจ้าสามพันแต้มกับให้โอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาที่หอบูรพาจารย์อีกหนึ่งคืน” นักพรตวัยกลางคนกล่าวแบบไม่รีบร้อน
“อะไรนะ! มีโอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาหนึ่งคืน” ครั้งนี้กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนต่างก็รู้สึกตกตะลึง และนักพรตแซ่จงก็เผลอหลุดปากพูดออกมา
“ศิษย์พี่กุย พวกท่านก็รู้ว่ากำแพงเก็บเงาที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้นมีพลังไม่มากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ศิษย์หลานไป๋กับศิษย์หลานหยางสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงล่ะก็ อาจารย์อาเยี่ยนคงจะไม่ตอบรับคำขอนี้จากศิษย์พี่ท่านประมุขอย่างแน่นอน” นักพรตแซ่จางเองก็กล่าวด้วยความอิจฉา
หลิ่วหมิงกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่ากำแพงเก็บเงานั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร
แต่ในเมื่อนักพรตแซ่จงไม่พูดถึงแต้มคุณูปการสามพันแต้ม ประจักษ์ชัดว่าสิ่งของอย่างหลังคงมีมูลค่าสูงกว่ามาก
“ดูท่าครั้งนี้ท่านประมุขคงจะตบรางวัลให้พวกเขาอย่างงามจริงๆ กำแพงเก็บเงานั้นอาจารย์อาเยี่ยนเป็นผู้ดูแลด้วยตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ตามกฎแล้วมีเพียงแค่ศิษย์ที่ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเท่านั้น ที่ท่านยอมแหกกฎให้ไปทำความเข้าใจได้หนึ่งคืน เรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาอีกเดี๋ยวศิษย์น้องจะชี้แนะศิษย์หลานไป๋ด้วยตนเองใช่ไหม อย่าให้โอกาสอันดีนี้สูญเปล่าล่ะ” หลังจากที่สีหน้าตกตะลึงของกุยหรูฉวนหายไปแล้วก็ได้กล่าวกับนักพรตแซ่จงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาให้เขาฟังอย่างละเอียดเอง ชงเทียน เย็นนี้เจ้าไปยังที่พักข้าสักครา ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ จะคุยกับเจ้า ตอนนี้หยิบป้ายประจำตัวออกมาให้อาจารย์อาจางใส่แต้มคุณูปการสามพันแต้มให้เจ้าก่อนเถอะ” นักพรตแซ่จงพยักหน้าด้วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หันไปสั่งหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าและขานตอบรับ จากนั้นก็ดึงป้ายประจำตัวที่อยู่ตรงคอออกมายื่นให้นักพรตแซ่จาง
นักพรตแซ่จางหยิบกระบองสั้นสีทองมาแตะลงบนแผ่นป้ายสองสามครั้ง และส่งคืนให้หลิ่วหมิงพร้อมกับกล่าวว่า
“สองก่อนหน้าทั้งหมดนี้เป็นรางวัลจากนิกายเรา และของรางวัลจากแต่ละนิกายที่เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายก็คือหนึ่งในสิบของทรัพยากรที่เจ้านำมาจากแดนลึกลับ ตอนนี้ทางนิกายมีตัวเลือกให้เจ้าสองตัวเลือก อย่างแรกคือไม่ว่าวัตถุจิตวิญญาณใดๆ ก็ตามที่เจ้าได้มาจากแดนลึกลับจะตกเป็นของเจ้าหนึ่งในสิบ แต่ถ้ามีของที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ก็ให้คิดเป็นหินจิตวิญญาณแทน อย่างที่สองคือเปลี่ยนทรัพยากรเหล่านี้เป็นหินจิตวิญญาณให้หมดแล้วมอบให้เจ้า โดยที่ราคามันจะสูงกว่าท้องตลาดในตอนนี้ถึงหนึ่งในสิบส่วน ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกอย่างหลังจะดีกว่า เพราะว่าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านั้นต่างก็เป็นสิ่งที่นิกายต้องกายเป็นอย่างยิ่ง และก็มีเพียงแค่นิกายเท่านั้นที่สามารถทำให้มันสำแดงผลลัพธ์ที่แท้จริงออกมาได้ อีกอย่างถ้าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเจ้าล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้”
“ฮึ! หรือว่าในนิกายยังมีคนคิดไม่ดีต่อศิษย์ของข้ารึ?” พอนักพรตแซ่จงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“เฮ่อๆ! มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคนนอกนิกายล่ะก็พูดยาก อีกอย่างศิษย์หลานหยางและคนอื่นๆ ต่างก็เลือกเอาหินจิตวิญญาณ ถ้าหากว่ามีศิษย์หลานไป๋คนเดียวที่เลือกเอาพืชจิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่ามันจะดูไม่ค่อยดีนัก” นักพรตวัยกลางคนฝืนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ช่างเถอะ! ในเมื่อศิษย์น้องจางพูดขนาดนี้แล้ว ก็ให้ศิษย์หลานไป๋เลือกหินจิตวิญญาณเถอะ!” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ชงเทียน เจ้าว่าอย่างไร?” นักพรตแซ่จงถอนหายใจแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ศิษย์ขอทำตามคำสั่งอาจารย์!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“เฮ่อๆ! ดีมาก นี่คือหินจิตวิญญาณสี่หมื่นสองพันก้อน ศิษย์หลานไป๋ เจ้ารับมันไปเถอะ!” นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมาจากอกแล้วโยนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับถุง และเปิดดูข้างในเล็กน้อย ในนั้นมีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่ยี่สิบก้อนกับหินจิตวิญญาณสีขาวราวกับหยก พื้นผิวของมันเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก และแผ่กลิ่นไอพลังอันน่าตกใจมากกว่าหินจิตวิญญาณระดับกลางมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา