ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 153

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 153 ไอปีศาจบริสุทธิ์
ตอนที่ 153 ไอปีศาจบริสุทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วโค้งคารวะ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเรียบร้อย

“ดีมาก! นับว่าเจ้ามาได้ค่อนข้างเร็ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาครั้งนี้นอกจากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาแล้ว ยังอยากคุยเรื่องการเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณกับเจ้าด้วย พวกเราหลายคนต่างก็มองออกว่าเจ้าคงได้รับของดีอย่างอื่นจากแดนลึกลับ ระดับการฝึกฝนถึงได้เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นมาก ด้วยพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมายังไม่มั่นคงจึงยังไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ”

“อาจารย์ปราดเปรื่องยิ่งนัก ศิษย์เคยทานผลไม้จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งในตอนที่อยู่แดนลึกลับจนพลังเวทย์เพิ่มถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ผลไม้จิตวิญญาณเหล่านี้พอเด็ดลงมาแล้วผลลัพธ์ของมันจะค่อยๆ ลดลง ศิษย์จึงไม่อาจนำออกมานอกแดนลึกลับได้” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับไป

“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องอธิบายหรอก! เจ้าได้รับผลประโยชน์อันดีใดในแดนลึกลับล้วนเป็นวาสนาของเจ้า ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องเหล่านี้หรอก นี่เป็นสิ่งที่แต่ละนิกายต่างก็ยอมรับโดยปริยาย อย่างไรซะการที่พวกเจ้าเข้าทดสอบความเป็นความตายเดิมทีก็เป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างสูงอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ทางที่ดีควรจะรออีกสักหน่อย เพื่อให้พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่มั่นคงเสียก่อน จากนั้นค่อยทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ” นักพรตแซ่จงโบกมือกล่าวออกมา

“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ ศิษย์รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างนอบน้อม และรู้สึกผ่อนคลายไปมาก

“เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ อีกสักครู่ข้าค่อยคุยกับเจ้าอย่างละเอียด ตอนนี้จะพูดเรื่องกำแพงเก็บเงากับเจ้าก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่?” นักพรตแซ่จงถามโดยไม่เร่งรีบ

“เรียนอาจารย์ ศิษย์ได้ยินเป็นครั้งแรกว่านิกายของเรามีของสิ่งนี้ด้วย” หลิ่วหมิงกะพริบตาแล้วตอบกลับไป

“อืม! มันเป็นเรื่องปกติ คนในนิกายที่รู้เรื่องการมีอยู่ของกำแพงเก็บเงานั้น นอกจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าแล้ว ศิษย์ทั่วไปคงมีไม่ถึงสิบคน และแต่ละคนก็ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับ เมื่ออาจารย์เล่าเรื่องกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟังโดยละเอียดแล้ว เจ้าอย่าไปเล่าให้ใครฟังล่ะ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของนิกาย” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“ทราบ! ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นยะเยือก

“ดี! ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะเล่าความเป็นมาของกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟัง ของสิ่งนี้เดิมทีเป็นหินมหัศจรรย์จากทะเลลึกที่ไม่ทราบชื่อ ต่อมาถูกเผ่าเจ้าสมุทรช้อนขึ้นมาจากก้นทะเล แล้วถึงมาตกอยู่ในมือของปรมาจารย์ลิ่วยิน ว่ากันว่าปรมาจารย์ลิ่วยินต้องเก็บตัวหลายปี ในที่สุดก็สามารถหาประโยชน์ใช้สอยของมันได้ และยังไปหาผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้นทำการประทับชั้นจำกัดลี้ลับมหัศจรรย์ไว้บนหินก้อนนี้ด้วย จากนั้นก็นำมันมาเก็บไว้ในห้องลับที่ใช้ในการฝึกฝน และไม่นำมันออกสู่สายตาผู้คนอีก จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ปรมาจารย์ลิ่วยินก็ถึงใกล้ถึงเวลาสิ้นอายุขัย ท่านจึงเรียกศิษย์ทั้งหลายมารวมตัวต่อหน้า แล้วบอกเล่าประวัติของตนเองกับวิธีการใช้ประโยชน์จากกำแพงเก็บเงาก้อนนั้น “ นักพรตแซ่จงกล่าวถึงจุดนี้แล้วก็หยุดเล็กน้อย

“ประวัติของปรมาจารย์กับประโยชน์ของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้?” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมา

“ไม่ผิด! ตามที่อาจารย์ปู่บอก แท้จริงแล้วท่านเป็นศิษย์มาจากนิกายใหญ่ในแผ่นดินอื่น แต่เป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้ท่านต้องระเหเร่ร่อนมายังแผ่นดินอวิ๋นชวน และก็ไม่สามารถกลับนิกายของตนเองได้ ทำได้เพียงแต่ก่อตั้งนิกาย และวิชาที่ถ่ายทอดในแต่ก่อนก็เป็นวิชานอกรีตเท่านั้น แต่เมื่อวาระสุดท้ายของท่านมาถึง ท่านก็ไม่อยากที่จะให้วิชาที่ท่านเรียนมาทั้งหมดถูกฝังไปกับท่าน จึงได้มีกำแพงเก็บเงาก้อนนี้ขึ้นมา ท่านอาศัยกำแพงเก็บเงากับชั้นจำกัดพิเศษที่อยู่บนนั้น นำเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาเก็บไว้บนนั้น ภายหน้าถ้าศิษย์คนใดมีวาสนาก็จะสามารถทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงา และได้รับถ่ายทอดบางส่วนไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่นับว่าอาจารย์ทำลายคำปฏิญาณของตนเอง ตอนนี้เจ้าเข้าใจมูลค่าของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้แล้วใช่ไหม!” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ที่แท้ปรมาจารย์ท่านเป็นคนจากแผ่นดินอื่น! แต่ก่อนหน้านั้นอาจารย์ก็คงจะเคยทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงาแล้วใช่ไหม ไม่ทราบว่าได้สิ่งใดมาบ้าง” หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งแล้วถึงถามออกไป

“ตามกฎของนิกาย กำแพงเก็บเงานี้มีแต่ผู้ฝึกในระดับสูงในนิกายเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ และตามกฎที่อาจารย์ปู่ตั้งไว้ในปีนั้น นอกจากศิษย์ที่กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้นิกายแล้ว นอกนั้นก็ไม่สิทธิ์ทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงานี้ เพราะว่ากำแพงเก็บเงานี้ก็เป็นสิ่งของสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่กระตุ้นมันพลังบางอย่างในนั้นก็จะหายไป เมื่อพลังทั้งหมดหายไปจนหมดสิ้นก็จะเป็นวันที่ของสิ่งนี้พังสลายไปด้วย และผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พลังในกำแพงคงมีไม่ค่อยมากแล้ว ส่วนมันจะพังทลายลงมาเมื่อใดนั้น เรื่องนี้คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ ไม่แน่ว่าหลังจากที่เจ้ากับหยางเฉียนไปดูมันแล้วมันก็จะอาจจะพังทลายไปเลยก็ได้ ในปีนั้นที่อาจารย์ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก็เคยไปดูกำแพงเก็บเงานี้หนึ่งคืน แต่นอกจากจะเห็นเงาพร่ามัวเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น และรู้สึกจิตปลอดโปร่งในเช้าวันที่สองแล้ว ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย และหลังจากที่อาจารย์ลุงจูของเจ้าไปดูในปีนั้นก็ได้ผลลัพธ์ออกมาพอๆ กัน แต่เมื่ออาจารย์ลุงกุยของเจ้าดูเสร็จก็เข้าใจอะไรบางอย่าง และสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่ในการฝึกฝนของตนเองได้ ส่วนคนอื่นๆ ในนิกายส่วนใหญ่ก็ได้ผลเหมือนกับอาจารย์ ซึ่งเห็นเพียงแค่เงาแปลกๆ บนกำแพง และบางส่วนกลับได้เคล็ดสั้นๆ มา และใช้แก้ปัญหาบางอย่างในการฝึกฝนได้ ตั้งแต่วันที่กำแพงเก็บเงาถ่ายทอดวิชามาจนถึงตอนนี้ มีคนเข้าใจวิชาทั้งชุดจริงๆ แค่สามสี่คนเท่านั้น และเคล็ดวิชาที่พวกเขาได้รับต่างก็ถูกจัดอยู่ในเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกาย มีคนเพียงไม่กี่คนในแต่ละรุ่นที่สามารถแบ่งแยกกันฝึกหนึ่งในวิชาเหล่านั้นได้ แม้แต่สามสุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายก็ไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นพอถึงเวลาเจ้าจะได้อะไรจากกำแพงเก็บเงาบ้างล้วนต้องพึ่งวาสนาของเจ้าแล้ว” นักพรตแซ่จงกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างรอบคอบ

หลิ่วหมิงฟังจนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา