ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 159

สรุปบท ตอนที่ 159: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 159 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 159 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 159 เวลาสามเดือน
ตอนที่ 159 เวลาสามเดือน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วางใจเถอะ! ข้าจะไม่ใช้พลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณโจมตีอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าไม่ยอมรับล่ะก็ข้าก็จะไม่บังคับ และก็ออกไปเสียตั้งแต่บัดนี้ ข้าจะทำเหมือนกับว่าเจ้าไม่เคยมาหาข้า” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมเข้าใจคำว่า ‘ไม่เคยมาหา’ แน่นอนมันหมายความว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยผู้นี้จะไม่ตอบรับคำขอร้องใดๆ จากเขาอีก

ดังนั้นเขาจึงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ

“ในเมื่ออาจารย์ลุงจะต้องทดสอบพลังของศิษย์ให้ได้ ถ้าอย่างงั้นศิษย์ก็ขอให้อาจารย์ลุงลงมือเถอะ!”

“เฮ่อๆ! ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิ! เพียงแค่รับการโจมตีจากข้าแล้วไม่เป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำเรื่องอะไร ข้าก็จะตอบรับไว้ก่อน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นเขาก็ขยับแขนและค่อยๆ ชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง

พอหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจำนวนมากพวยพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดไปมา ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ตบไปยังหน้าอก ทันใดนั้นแสงสีดำสามจุดก็เปล่งประกายออกมาก่อนที่โล่แสงที่ดำจะมาบังอยู่ตรงหน้าเขา

ขณะนี้แสงสายฟ้าก็ได้เปล่งประกายขึ้นบนนิ้วมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลย เมื่อสายฟ้าเส้นเล็กพุ่งยิงออกจากปลายนิ้วของเขา มันก็กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าขนาดเท่าปากชามและพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงฟ้าผ่าอันดังก้อง

ยังไม่ทันที่อสรพิษสายฟ้าจะพุ่งเข้าถึงตัวหลิ่วหมิง ก็มีกลิ่นไหม้ม้วนตัวออกมาจากอากาศด้านบนก่อน

หลิ่วหมิงเรียกกระบี่จันทราหยกออกมาโดยไม่ต้องคิด เมื่อกระบี่จันทราหยกปรากฏออกมามันก็ฟันปราณกระบี่ออกไปสามสาย

เขาแค่วาดมืออีกข้างไปบนอากาศ คมวายุหกเส้นก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน จากนั้นมันก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!”

หลังจากมีเสียงดังกึกก้อง คมวายุจำนวนมากก็ฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้าติดต่อกัน นอกจะทำให้มันหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว ยังทำให้มันค่อยๆ ระเบิดตัวสลายไป

ขณะนี้ปราณกระบี่สีเขียวสามสายรวมกันเป็นหนึ่งแล้วฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้า

ทั้งสองระเบิดตัวบนอากาศด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”

ปราณกระบี่สีเขียวกับสายฟ้าสีเงินประสานเข้าหากันภายในพริบตา แต่หลังจากมีเสียงฟ้าร้องดังออกมา สายฟ้าก็ถูกปราณกระบี่สีเขียวทำลายจนขาดออกจากกัน และสายฟ้าที่เหลือก็ผ่าลงบนโล่แสงสีดำตรงหน้าหลิ่วหมิง

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขายกแขนขึ้นแล้วแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกันก่อนที่จะกดลงบนโล่แสง ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทย์พรั่งพรูออกมาด้วย

อย่างไรก็ตามโล่แสงสีดำก็ต้านทานได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ

แต่ตอนนี้สายฟ้าที่เหลือก็มีขนาดเท่านิ้วโป้งเท่านั้น และหนวดสัมผัสที่มาจากไอสีดำบนร่างหลิ่วหมิงก็โบกสะพัดรุนแรงมากขึ้นจนมองเห็นเป็นเงาทับซ้อน

ทันทีที่มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น หนวดสัมผัสกับสายฟ้าที่เหลือก็ถูกทำลายจนแตกกระเจิง

สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าการเคลื่อนไหวติดต่อกันเมื่อครู่ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าสามารถรับการโจมตีของชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้

“ไม่เลว! ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้กล้าล่วงเกินเกาชงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ครั้งนี้ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ พูดมาเถอะ! เจ้ามาให้ข้าช่วยเรื่องอันใด” เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และยังกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงด้วย

“ขอบคุณอาจารย์ลุงเหลย ก่อนมาที่นี่ศิษย์ได้รับภารกิจตรวจตราเมืองเสวียนจิง ดังนั้นถึงได้ตั้งใจมาคารวะอาจารย์ลุง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม

“ตรวจตราเมืองเสวียนจิง? ตำแหน่งนี้อันตรายและจัดการได้ยาก คาดว่าเจ้าคงไม่คิดทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในระยะเวลาอันใกล้ถึงได้รับภารกิจนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็นับว่าเจ้าฉลาดที่รู้จักไปจากนิกาย มิเช่นนั้นถ้าเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เจ้าคงไม่สามารถอยู่ในนิกายได้อย่างสบายใจ” พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง เขากลับพยักหน้ากล่าวออกมา

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอาจารย์ลุงเหลยตอบรับคำขอของข้าแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ

“ฮึ! ดูท่าเรื่องแนะนำศิษย์จะเป็นเรื่องรอง ที่จริงศิษย์น้องได้รับคำสั่งจากท่านประมุขให้มาเกลี้ยกล่อมข้าใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา

“ในนิกายนี้ข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ถ้าท่านประมุขไม่ให้ข้ามาแล้วจะให้ใครมาได้ล่ะ!” หลินไฉอวี่กล่าวโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องหลินก็ไปรายงานศิษย์พี่ด้วยว่าข้าไม่ได้เป็นอะไร แม้ว่าการเสียชีวิตของเหลยเจิ้นจะทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับหน่วงเหนี่ยวเรื่องสำคัญของนิกาย เพราะถ้าข้าไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ก็คงจะออกหน้าห้ามปรามไม่ให้เหลยเจิ้นไปแดนลึกลับแล้ว ในเมื่อข้าพนันแพ้ ข้าก็ย่อมยอมรับผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย ทางตระกูลเหลยเองก็ไม่มีวันล้มลงเพราะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์เพียงคนเดียว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี

“ดี! ได้ยินศิษย์พูดเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องขอกลับไปรายงานศิษย์พี่ท่านประมุขก่อน” หลินไฉอวี่ได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา

“ใช่สิ! ศิษย์พี่ท่านประมุขทำอย่างไรกับเรื่องของศิษย์ตนเองกับศิษย์หลานไป๋”

พอเห็นหญิงสาวกำลังจะไป ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็เอ่ยปากถามออกมา

“ศิษย์พี่ท่านประมุขเคยพูดเรื่องนี้กับศิษย์น้องอยู่ เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศิษย์พี่กุย ศิษย์พี่จง และคนอื่นๆ ดังนั้นท่านประมุขเองก็ไม่อาจออกหน้าก้าวก่ายเรื่องนี้ได้ จึงได้ให้ศิษย์หญิงที่เป็นตัวชนวนเหตุของปัญหาผู้นั้นกลับไปที่ตระกูลของตนเองก่อน เรื่องนอกเหนือจากนี้คงต้องปล่อยไปตามน้ำ” หลินไฉอวี่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ฮึ! ดูท่าไม่ว่าศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้แก่นิกายมากแค่ไหน ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ยังมีใจเอนเอียงให้กับศิษย์ของตน อะไรเรียกว่าปล่อยไปตามน้ำ ถ้าหากเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ศิษย์น้องไป๋ก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะกล่าวออกมา

“เฮ้อ! ศิษย์พี่ท่านประมุขเองก็ลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของเกาชงมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราได้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้นิกาย แต่ทางนิกายก็ได้มอบรางวัลที่สมควรมอบไปไม่ใช่น้อย คุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขาค่อนข้างต่ำไปหน่อย ต่อให้มีร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ แต่ถ้าไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ก็ไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้ ศิษย์พี่ท่านประมุขคงไม่หยุดยั้งความแข็งแกร่งของนิกายเพียงเพราะศิษย์จิตวิญญาณแค่คนเดียวหรอก ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องดีที่ให้ศิษย์หลานไป๋ไปจากนิกาย ไม่แน่หลังจากที่เกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว อาจจะไม่สนใจเรื่องบุญคุณความแค้นนี้ก็เป็นได้” หญิงสาวแซ่หลินกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

“ถ้าหากเป็นเกาชงเมื่อสามปีก่อน ข้าอาจจะเชื่อ แต่ด้วยอุปนิสัยของเขาในตอนนี้น่ะหรือ…เฮ่อๆ! ช่างเถอะ! ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้มาก แต่ถ้าเกาชงโทษข้าเพราะเรื่องศิษย์ตรวจตรานี้จริงๆ ล่ะก็ ศิษย์น้องคิดว่าข้าสนใจหรือ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา