หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมเข้าใจคำว่า ‘ไม่เคยมาหา’ แน่นอนมันหมายความว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยผู้นี้จะไม่ตอบรับคำขอร้องใดๆ จากเขาอีก
ดังนั้นเขาจึงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
“ในเมื่ออาจารย์ลุงจะต้องทดสอบพลังของศิษย์ให้ได้ ถ้าอย่างงั้นศิษย์ก็ขอให้อาจารย์ลุงลงมือเถอะ!”
“เฮ่อๆ! ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิ! เพียงแค่รับการโจมตีจากข้าแล้วไม่เป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำเรื่องอะไร ข้าก็จะตอบรับไว้ก่อน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นเขาก็ขยับแขนและค่อยๆ ชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจำนวนมากพวยพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดไปมา ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ตบไปยังหน้าอก ทันใดนั้นแสงสีดำสามจุดก็เปล่งประกายออกมาก่อนที่โล่แสงที่ดำจะมาบังอยู่ตรงหน้าเขา
ขณะนี้แสงสายฟ้าก็ได้เปล่งประกายขึ้นบนนิ้วมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลย เมื่อสายฟ้าเส้นเล็กพุ่งยิงออกจากปลายนิ้วของเขา มันก็กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าขนาดเท่าปากชามและพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงฟ้าผ่าอันดังก้อง
ยังไม่ทันที่อสรพิษสายฟ้าจะพุ่งเข้าถึงตัวหลิ่วหมิง ก็มีกลิ่นไหม้ม้วนตัวออกมาจากอากาศด้านบนก่อน
หลิ่วหมิงเรียกกระบี่จันทราหยกออกมาโดยไม่ต้องคิด เมื่อกระบี่จันทราหยกปรากฏออกมามันก็ฟันปราณกระบี่ออกไปสามสาย
เขาแค่วาดมืออีกข้างไปบนอากาศ คมวายุหกเส้นก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน จากนั้นมันก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!”
หลังจากมีเสียงดังกึกก้อง คมวายุจำนวนมากก็ฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้าติดต่อกัน นอกจะทำให้มันหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว ยังทำให้มันค่อยๆ ระเบิดตัวสลายไป
ขณะนี้ปราณกระบี่สีเขียวสามสายรวมกันเป็นหนึ่งแล้วฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้า
ทั้งสองระเบิดตัวบนอากาศด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”
ปราณกระบี่สีเขียวกับสายฟ้าสีเงินประสานเข้าหากันภายในพริบตา แต่หลังจากมีเสียงฟ้าร้องดังออกมา สายฟ้าก็ถูกปราณกระบี่สีเขียวทำลายจนขาดออกจากกัน และสายฟ้าที่เหลือก็ผ่าลงบนโล่แสงสีดำตรงหน้าหลิ่วหมิง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขายกแขนขึ้นแล้วแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกันก่อนที่จะกดลงบนโล่แสง ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทย์พรั่งพรูออกมาด้วย
อย่างไรก็ตามโล่แสงสีดำก็ต้านทานได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
แต่ตอนนี้สายฟ้าที่เหลือก็มีขนาดเท่านิ้วโป้งเท่านั้น และหนวดสัมผัสที่มาจากไอสีดำบนร่างหลิ่วหมิงก็โบกสะพัดรุนแรงมากขึ้นจนมองเห็นเป็นเงาทับซ้อน
ทันทีที่มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น หนวดสัมผัสกับสายฟ้าที่เหลือก็ถูกทำลายจนแตกกระเจิง
สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าการเคลื่อนไหวติดต่อกันเมื่อครู่ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าสามารถรับการโจมตีของชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้
“ไม่เลว! ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้กล้าล่วงเกินเกาชงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ครั้งนี้ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ พูดมาเถอะ! เจ้ามาให้ข้าช่วยเรื่องอันใด” เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และยังกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงด้วย
“ขอบคุณอาจารย์ลุงเหลย ก่อนมาที่นี่ศิษย์ได้รับภารกิจตรวจตราเมืองเสวียนจิง ดังนั้นถึงได้ตั้งใจมาคารวะอาจารย์ลุง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ตรวจตราเมืองเสวียนจิง? ตำแหน่งนี้อันตรายและจัดการได้ยาก คาดว่าเจ้าคงไม่คิดทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในระยะเวลาอันใกล้ถึงได้รับภารกิจนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็นับว่าเจ้าฉลาดที่รู้จักไปจากนิกาย มิเช่นนั้นถ้าเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เจ้าคงไม่สามารถอยู่ในนิกายได้อย่างสบายใจ” พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง เขากลับพยักหน้ากล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอาจารย์ลุงเหลยตอบรับคำขอของข้าแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา