“ศิษย์น้องไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ต่อไปเกาชงจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ต่อให้เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกในระดับผลึก ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว นี่ก็นานมากแล้ว ศิษย์น้องก็ควรลงเขาไปได้แล้วล่ะ ข้าต้องการความสงบจริงๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยโบกมือแล้วกล่าวอย่างเมินเฉย
หลินไฉอวี่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วก็ลาจากไป
……
หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักก็หยิบป้ายหยกตรวจตรามาชื่นชม
บริเวณขอบป้ายหยกไม่เพียงแต่มีอักขระที่งดงาม แต่ยังมีคำว่า ‘ตรวจตรา’ สลักไว้บนแผ่นป้ายด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สลักคำว่า ‘นิกายปีศาจไว้’ และพอส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้นเล็กน้อย ก็มีค่ายกลอักขระหกชั้นที่มีสีสันแตกต่างกันปรากฏออกมา
ไม่คาดคิดว่าของสิ่งนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ
แต่พอหลิ่วหมิงมองดูลักษณะสิ่งของที่อยู่ในมือแล้ว กลับแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
ของสิ่งนี้ดูคล้ายกับป้ายสีฟ้าที่เขาได้มาจากปีศาจครึ่งมังกรตนนั้น เพียงแต่ระดับของมันอยู่ห่างกันมาก
อย่างนี้แสดงว่าป้ายสีฟ้านั้นก็เป็นสิ่งของแทนสถานะบางอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมถึงมาอยู่ในตัวของปีศาจมังกรแดงตนนั้นได้นะ
ต่อให้หลิ่วหมิงจะคิดด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมสักร้อยรอบ ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวอยู่ในแดนลึกลับ และถูกปีศาจครึ่งมังกรตนนั้นสังหาร และสุดท้ายสิ่งของของพวกเขาก็ตกอยู่ในมือของตนเอง
หลังจากที่เขาชื่นชมป้ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอาแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มใช้พลังจิตตรวจดูสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้น
ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็หยิบแผ่นหยกออก สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คิดไม่ถึงว่า เมืองเสวียนจิงจะซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก แม้แต่คนต่างเผ่าก็เคยปรากฏตัวในนั้น แต่ในเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะถอย”
หลังจากเขาพูดพึมพำไม่กี่ประโยค ก็คิดใคร่ครวญอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เก็บป้ายกับแผ่นหยกเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก
……
สามวันผ่านไป ด้านหน้าของหุบเขาที่เป็นเขตต้องห้ามที่อยู่ตรงด้านหลังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงยืนเก็บมืออย่างเรียบร้อยอยู่ตรงปากทางเข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กองหญ้าแห้งที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีแมวดาวหิมะขาวลำตัวยาวครึ่งจั้งกว่านอนขดตัวอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงมีเสียงฝีเท้าดังมาจากในหุบเขา และมีเด็กน้อยสวมชุดสีเหลืองอายุราวๆ สิบเอ็ดถึงสิบสองปีเดินออกมา
พอเขาเดินมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ไป๋ คืนนี้อาจารย์ปู่อนุญาตให้ท่านเข้าหุบเขาเพื่อทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาได้ แต่ในช่วงเวลากลางวันนี้ท่านต้องรออยู่ด้านนอก พอถึงเวลากลางคืนแล้วข้าจะนำท่านไปสังเกตกำแพงเก็บเงา”
“ขอบใจศิษย์น้องมาก ข้าจะรออยู่แถวนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป
ในเมื่อเขาวางแผนที่จะไม่กลับนิกายปีศาจเป็นเวลาหลายปี โอกาสในการทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงานี้ย่อมไม่อาจละทิ้งได้ ดังนั้นหลังจากที่เขาสะสมพลังมาหลายวัน ในที่สุดวันนี้เขาก็มาขอทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาในเขตต้องห้ามของอาจารย์ปู่เยี่ยนหนึ่งคืน
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เดิมทีหลิ่วหมิงจะถือโอกาสมาคารวะอาจารย์ปู่เยี่ยนผู้นี้สักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าท่านไม่คิดที่จะพบผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเลย ท่านเพียงแค่ให้เด็กน้อยเฝ้าหุบเขาตอบรับคำขอของเขาเท่านั้น
ขณะนี้ เด็กน้อยชุดเหลืองผู้นั้นก็นั่งลงด้านข้างแมวดาวหิมะขาวตัวนั้น และเอนตัวพิงขนอ่อนนุ่มของมัน ไม่นานเขาก็หลับสนิท
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แมวดาวตนนั้นทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก และระดับการฝึกฝนของเจ้าเด็กชุดเหลืองก็ดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก แต่ทั้งสองกลับสนิทสนมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ
แต่หลิ่วหมิงก็รีบปิดตาดึงพลังจิตกลับมาอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำการฝึกฝน
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย เมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืดลงนั้น ในที่สุดเด็กน้อยที่หลับไปทั้งวันก็พลิกตัวขึ้นจากลำตัวของแมวดาวหิมะขาว หลังจากที่บิดขี้เกียจแล้วก็หันมาทักทายหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ไป๋ ได้เวลาแล้ว ข้าจะนำท่านไปที่กำแพงเก็บเงา แต่ตอนที่เข้าไปในหุบเขาศิษย์พี่จะต้องตามหลังข้ามาติดๆ มิเช่นนั้นถ้าหากไปโดนชั้นจำกัดที่อาจารย์ปู่วางไว้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้”
“ย่อมได้! ศิษย์น้องนำทางอยู่ด้านหน้าก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบลืมตาทั้งสอง และลุกขึ้นมากล่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา