“ที่แท้ท่านก็วางแผนไว้เช่นนี้ แต่คนผู้นี้มีที่มาไม่ชัดเจน ทั้งยังเป็นแขกของอ๋องสามอีก มันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” ชายชุดดำอีกคนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เขาเป็นแค่แขกของเรือนร้อยวิญญาณ เรือนน้อยวิญญาณร่วมมือกับท่านอ๋องสามเป็นหลัก เขาไม่นับว่าเป็นคนของจวนอ๋องสาม แต่หลังกลับไปแล้ว เจ้ารีบให้คนไปตรวจสอบดูว่าเรือนร้อยวิญญาณได้รับแขกคนใหม่ที่ชื่อเฉียนหมิงไหม” ชิงหลงจื่อสั่งอย่างราบเรียบ
“ทราบ! กลับไปข้าจะรีบสั่งการลงไป” ชายชุดดำทั้งสอบตอบรับพร้อมกัน
“เมื่อครู่เจ้าพูดถึงอ๋องสาม ทำให้ข้าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สายลับที่เราส่งเข้าไปเมื่อไม่นานนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวส่งอะไรส่งมาบ้างไหม?” ชิวหลงจื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไป
“พี่ใหญ่ สายลับเหล่านั้นไม่ได้ติดต่อมาครึ่งเดือนแล้ว ดูท่าจะเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ส่งไปก่อนหน้า ส่วนมากจะถูกฆ่าปิดปากไปจนหมด” ชายชุดดำคนหนึ่งหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! อ๋องสามผู้นี้รอบคอบเป็นอย่างมาก เราส่งสายลับไปเจ็ดแปดคนได้ แต่คนที่อยู่ได้นานที่สุดก็แค่ครึ่งปีเท่านั้น จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย” พอชิวหลงจื่อได้ยินก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา
“พี่ใหญ่ หลายปีมานี้อ๋องสามลดระดับตัวเองมาค่อนข้างมาก และปรากฏตัวออกมาน้อยเช่นกัน ทำไมพวกเราต้องสนใจอ๋องผู้ทรงคุณธรรมผู้นี้ ก็รู้กันดีว่าเขาช่วยให้จักรพรรดิได้ครองราชย์ในปีนั้น ทำให้เขาได้ผลงานไปไม่น้อย หากมีคนทราบทูลจักรพรรดิในเรื่องนี้ ถึงแม้พวกเราจะไม่กลัว แต่เกรงว่าคงจะตกอยู่ในสถานะที่ไม่ค่อยดีนัก” ชายชุดดำอีกคนกล่าวด้วยความแปลกใจ
“อืม! เดิมทีกะว่าจะรอเรื่องนี้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยบอกพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าถามขึ้นมาในตอนนี้ ข้าจะเล่าให้ฟังเล็กน้อย ที่ข้าให้ความสนใจ ‘อ๋องผู้ทรงคุณธรรม’ นี้ ก็เพราะว่าข้าได้รับเบาะแสมาว่าอ๋องสามอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘พรรควิญญาณมืด’ ที่มีอิทธิพลใหญ่ที่สุดในเสวียนจิงตอนนี้ และมีความเป็นไปได้ว่าเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืด’ ” ชิวหลงจื่อลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดโยคที่ทำให้ชายชุดดำทั้งสองรู้สึกตกใจขึ้นมา
“อะไรนะ! ผู้อยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืดคืออ๋องสาม?”
“ไม่ผิด! ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นข้าคงไม่หาเรื่องส่งคนไปตายที่จวนอ๋องสามหรอก สืบข่าวอะไรมาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ข้าเพียงเตือนอ๋องสามว่ามีคนจับตามองเขาอยู่ อย่าได้กระทำการอันบุ่มบ่าม อย่าให้พรรควิญญาณมืดสร้างความวุ่นวายอะไรในเสวียนจิง พวกเจ้ากลับไปหาสายลับพลีชีพมาคนหนึ่งแล้วส่งเข้าไปในจวนอ๋องสามอีกครั้ง” ชิวหลงจื่อหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลังจากที่ชายชุดดำหายตกใจแล้ว ก็โค้งตัวตอบรับ
จากนั้นชิวหลงจื่อก็ให้ทั้งสองไปเก็บค่ายกลที่วางไว้ แล้วพากันเหาะกลับเสวียนจิง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยมาทางนี้ด้วยเช่นกัน คนที่ยืนอยู่บนนั้นก็คือหลิ่วที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านั้น
ตอนนี้เขากลับมาเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าหลังจากส่งรถม้าสามคันนั้นไปแล้ว เขาถึงวกกลับมาที่นี่
เขาลอยวนอยู่บนอากาศเหนือป่าไม้อยู่หลายรอบ หลังจากส่งพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดลงไปดูด้านล่างแล้ว ก็รับรู้ได้ถึงคลื่นชั้นจำกัดบางส่วนที่เหลืออยู่ เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกระตุ้นเมฆเหาะจากไป
ขณะเดียวกัน ในห้องลับใต้ดินของพระราชวังโอ่อ่ารโหฐานในเสวียนจิง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมมังกรสีทองกำลังกลอกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าที่เดิมทีดูน่าเกรงขามก็เริ่มบิดเบี้ยว และมีเกล็ดสีเขียวปรากฏออกมา ขณะเดียวกันเส้นผมก็เปลายนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีเงินจางๆ
เสียดัง “เพล้ง!”
หางปลาสีเขียวขนาดใหญ่สะบัดออกมาจากเสื้อคลุมยาวของเขา และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่แข็งแกร่งราวกับหินแตกละละเอียดเป็นจุน
ใบหน้าของชายผู้นี้ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มือทั้งสองเกาะอยู่บนพื้น และทิ้งรอยเลือดสยดสยองไว้มากมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา