ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 193

สรุปบท ตอนที่ 193: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 193 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 193 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 193 ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเสวียนจิง
ตอนที่ 193 ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเสวียนจิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กวาดตามองคนผู้นี้ทีหนึ่ง แล้วคว้ามือข้างหนึ่งดูดลูกประคำที่ยังเปล่งประกายแสงสีขาวจางๆ มาไว้ในมือ จากนั้นก็ค้นตัวศพไร้ศีรษะจนได้หินจิตวิญญาณกับโอสถต่างๆ มาจำนวนหนึ่ง และเก็บมันไว้ในอกของตนเองอย่างไม่เกรงใจ

คนที่เดินออกจากทะเลหมอกค่อยๆ มองดูรอบด้าน พอเห็นว่าไม่มีเงาร่างของคนอื่นอยู่แล้วถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือร่ายคาถาใส่ทะเลหมอกด้านหลังอย่างรวดเร็ว และมองดูหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ ด้วยสายตาเคารพยำเกรง พร้อมกับป้องมือคารวะแล้วถามออกไป

“ขอบคุณสหายที่ยื่นมือเข้าช่วย ไม่ทราบว่าสหายใช่คนของอ๋องสามหรือไม่?”

คนผู้นี้อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายดาบยาวหนึ่งเล่ม แลดูฉลาดหลักแหลม

“อ๋องสามหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน หรือสหายไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับพวกเขา? ข้ามีนามว่าเฉียนหมิง เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ แต่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ข้ารับคำสั่งจากเถ้าแก่เฉียนให้มาช่วย แต่อีกไม่นานคนของอ๋องสามก็คงจะมาถึงแล้ว” ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ค้นตัวศพไปจนหมดแล้ว และลุกขึ้นมากล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“อะไรนะ! พี่เฉียนเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ ข้าคิดว่าก่อนหน้านั้นท่านแค่ตบตาพวกเขา ข้าไป๋ชิงไห่ เป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณเช่นกัน แต่อยู่ที่สาขาย่อยมาโดยตลอด” ชายผู้นี้ได้ยินก็มองมาที่หลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยความดีใจ

“อ๋อ! ที่แท้ก็คือสหายไป๋ ไม่ทราบว่าสหายท่านอื่นเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งของที่คุ้มกันนำส่งมาไม่มีปัญหาใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้าและตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“เฮ่อๆ! ท่านเฉียนไม่ต้องกังวล ของประมูลถูกพวกข้าทั้งหลายพกติดตัว ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแต่สหายท่านอื่นๆ ควบคุมค่ายกลจนสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก จำเป็นต้องนั่งพักผ่อนสักระยะ จึงไม่สามารถออกมาพบพี่เฉียนได้ในทันที”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว รออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ!”

ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่แอบแฝงด้วยความระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาก็ฟังออก จึงกล่าวออกมาด้วยความเก้อเขินในทันที

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก! ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยเห็นเขามาก่อน ย่อมไม่กล้าเปิดค่ายกลเพียงเพราะคำพูดของเขาเพียงฝ่ายเดียว และยอมให้เขาเข้าไปในนั้น

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงกับไป๋ชิงไห่ผู้นี้ก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกค่ายกล และคุยกันเล่นเล็กน้อย

พอไป๋ชิงไห่เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะบุกเข้าไปในค่ายกล ก็มีความเชื่อมั่นในตัวเขาขึ้นมาแปดถึงเก้าส่วน บวกกับที่ได้เห็นหลิ่วหมิงแสดงอานุภาพในตอนที่เขาอยู่ในค่ายกล ซึ่งสามารถฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งได้ด้วยตัวคนเดียว และสามารถขับไล่ผู้อาวุโสหน้าตกกระไปได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจเขาเต็มไปด้วยรู้สึกเคารพและยำเกรง จนหายข้องใจในตัวเขาเกือบหมดสิ้น

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่า ก่อนหน้านั้นกองทหารที่คุ้มกันนำส่งของประมูลของเรือนร้อยวิญญาณเหล่านี้ ถูกผู้ฝึกปราณที่แอบซุ่มอยู่สองข้างถนนสายหลัก ใช้ธนูโจมตีไปแล้วรอบหนึ่ง จนหน่วยเงาปีศาจของเหล่านี้ถูกฆ่าไปเกินกว่าครึ่ง หลังจากนั้นผู้อาวุโสหน้าตกกระถึงพาศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ มาปรากฏตัวบนอากาศ และจู่โจมอย่างกะทันหัน

ผู้ฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามมีมากถึงเพียงนี้ ทางฝ่ายของพวกเขามีศิษย์จิตวิญญาณแค่สี่คน ย่อมไม่อาจต้านทานได้ ทำได้เพียงแต่พาคนที่เหลือถอยไปยังถนนข้างหนึ่ง

จนสามารถหลบนี้มายังสถานที่นี้ที่พอจะตั้งค่ายกลได้ คนทั้งสี่ใช้ธงค่ายกลชุดหนึ่งที่เป็นของประมูล มาตั้งเป็นค่ายกลทองคำจตุสัตว์ด้วยความรวดเร็ว

แต่ขณะนั้น คนของพวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บหลายคน หน่วยเงาปีศาจที่เหลือก็ถูกฆ่าตายไปจนหมดสิ้น

“ไม่เห็นมีศพในตอนที่ข้าผ่านมาเลย คิดว่าคงถูกพวกเขาจัดการไปหมดแล้ว ใช่สิ! ฟังจากคำพูดของสหายไป๋ ท่านคงรู้สถานะที่แน่ชัดของคนเหล่านี้แล้ว พวกเขาใช่คนของหอรวมสมบัติหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยความสงสัย

“ใยต้องยืนยันด้วยเล่า? หยางคุนผู้นี้เป็นปีกที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์ชายเก้า คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนข้างกายองค์ชายเก้า” ไป๋ชิงไห่ได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! สหายไป๋ใยต้องเศร้าใจไปเล่า อย่างไรซะสิ่งของประมูลเหล่านี้ต่างก็ได้รับการคุ้มครองแล้ว อีกอย่างครั้งนี้พวกเขาเสียศิษย์จิตวิญญาณไปสี่คน ก็นับว่าสูญเสียไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมา

“พี่เฉียนกล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้องค์ชายเก้ากับหอรวมสมบัติได้สูญเสียไปไม่น้อย เชื่อว่าการสูญเสียนี้จะทำให้พวกเขาอยู่เงียบๆ ไปอีกนาน” ไอสีขาวในทะเลหมอกพวยพุ่งออกมา ผู้อาวุโสหน้ารูปสี่เหลี่ยม อายุราวๆ หกสิบกว่าปีเดินออกมาจากในนั้น และคารวะหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา

“ข้าขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือสหายซุนอิ๋น มีสถานะเหมือนกับผู้อาวุโสเหมี่ยน เป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งของเถ้าแก่เฉียน” พอไป๋ชิงไห่เห็นชายหน้าเหลี่ยม ก็รีบแนะนำด้วยความดีใจ

“ที่แท้สหายซุนก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน มิน่าละ! ถึงเอาตัวรอดจากการโจมตีของคนจำนวนมากขนาดนี้ได้” หลิ่วมองผู้อาวุโสอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มบางๆ

“เฮ่อๆ! ความสามารถอันน้อยนิดของข้านี้ ไหนเลยจะกล้าแสดงออกต่อหน้าสหายเฉียนได้ อานุภาพที่สหายแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้เห็นหมดแล้ว ข้ายังห่างชั้นจากท่านมากนัก” ซุนอิ๋นโบกมือกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เรือเหาะสีเทาลำหนึ่งกำลังเหาะเข้ามา

ไป๋ชิงไห่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็กล่าวด้วยความดีใจ

“คนของอ๋องสาม!”

“ฮึ! พวกเขามาช้าขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่เฉียนมาทันเวลา พวกเราอาจไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้” ซุนอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ขณะนี้เรือเหาะสีเทาได้เหาะเข้ามาใกล้พวกเขา หลังจากมีเงาร่างเคลื่อนไหว ชายหญิงคู่หนึ่งก็กระโดดลงจากบนนั้น ทหารสวมชุดทะมัดทะแมงยี่สิบกว่าคนกระโดดตามลงมา แต่ละคนถือดาบสะพายธนู ท่าทางคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก

“เอ๋! พี่ซุน พวกท่านปลอดภัยแล้ว ไอ้โจรปล้นสะดมเหล่านั้นล่ะ?” ชายฉกรรจ์ที่โดดลงจากเรือเหาะมีหนวดงอโง้ง หน้าตาอัปลักษณ์ พอเขาเห็นว่าซุนอิ๋นและคนอื่นๆ ปลอดภัย ก็อดที่จะถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้

เมื่อเขาได้ยินว่าในระยะที่เกิดวิกฤติการณ์ หลิ่วหมิงฆ่าศิษย์จิตวิญญาณฝ่ายตรงข้ามไปสี่คนเพียงลำพัง และยังทำให้คนอื่นตกใจจนต้องล่าถอยไป เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจระคนดีใจ และกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด

ขณะนี้ชายหน้าอัปลักษณ์กับหญิงสาวที่เป็นคนของจวนอ๋องสาม ก็ไม่สงสัยคำพูดในก่อนหน้านั้นของซุนอิ๋นอีก และสายตาที่มองหลิ่วหมิง ก็เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

หลิ่วหมิงพูดคุยกับคนอื่นๆ เพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ลากลับไปที่พักของตน

พอเขาผลักประตูห้องออก ร่างเล็กๆ ก็กระโจนเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุ แขนผอมแห้งทั้งสองกอดขาเขาไว้แน่น และไม่ยอมคลายออกเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าก็กลับมาแล้วนี่ไง!” หลิ่วหมิงยิ้มขึ้นมาในทันที และลูบหัวเฉียนหรูผิงเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา

“พี่หมิง ข้าอยากเรียนเกี่ยวกับค่ายกล!” ขณะนั้นเอง เฉียนหรูผิงกลับเงยใบหน้าเล็กๆ ขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดื้อดึง

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงงันขึ้นมา

หลายวันต่อมา ข่าวลือเรื่องที่เรือนร้อยวิญญาณมีแขกเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิง

เรื่องที่เขาสังหารศิษย์จิตวิญญาณไปสี่คนนั้น ก็ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ทราบเรื่องเข้า จนสร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาเป็นอย่างมาก

และต่อมาไม่นาน เรื่องที่ชิวหลงจื่อเคยแลกมือกับหลิ่วหมิง ก็ถูกเปิดเผยออกมา

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ตื่นตระหนก และพากันส่งคนมาสังเกตการเคลื่อนไหวของเรือนร้อยวิญญาณ

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ งานประมูลใหญ่ของเรือนร้อยวิญญาณก็ถูกเปิดอย่างเป็นทางการในที่สุด

วันนี้ ผู้ฝึกฝนนับพันคนมารวมตัวกันในห้องโถงขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงใต้ดินไปสิบกว่าจั้ง สถานที่แห่งนี้เป็นตลาดใต้ดินของเสวียนจิง

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา