คนที่เดินออกจากทะเลหมอกค่อยๆ มองดูรอบด้าน พอเห็นว่าไม่มีเงาร่างของคนอื่นอยู่แล้วถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือร่ายคาถาใส่ทะเลหมอกด้านหลังอย่างรวดเร็ว และมองดูหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ ด้วยสายตาเคารพยำเกรง พร้อมกับป้องมือคารวะแล้วถามออกไป
“ขอบคุณสหายที่ยื่นมือเข้าช่วย ไม่ทราบว่าสหายใช่คนของอ๋องสามหรือไม่?”
คนผู้นี้อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายดาบยาวหนึ่งเล่ม แลดูฉลาดหลักแหลม
“อ๋องสามหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน หรือสหายไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับพวกเขา? ข้ามีนามว่าเฉียนหมิง เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ แต่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ข้ารับคำสั่งจากเถ้าแก่เฉียนให้มาช่วย แต่อีกไม่นานคนของอ๋องสามก็คงจะมาถึงแล้ว” ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ค้นตัวศพไปจนหมดแล้ว และลุกขึ้นมากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อะไรนะ! พี่เฉียนเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ ข้าคิดว่าก่อนหน้านั้นท่านแค่ตบตาพวกเขา ข้าไป๋ชิงไห่ เป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณเช่นกัน แต่อยู่ที่สาขาย่อยมาโดยตลอด” ชายผู้นี้ได้ยินก็มองมาที่หลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยความดีใจ
“อ๋อ! ที่แท้ก็คือสหายไป๋ ไม่ทราบว่าสหายท่านอื่นเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งของที่คุ้มกันนำส่งมาไม่มีปัญหาใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้าและตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ท่านเฉียนไม่ต้องกังวล ของประมูลถูกพวกข้าทั้งหลายพกติดตัว ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแต่สหายท่านอื่นๆ ควบคุมค่ายกลจนสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก จำเป็นต้องนั่งพักผ่อนสักระยะ จึงไม่สามารถออกมาพบพี่เฉียนได้ในทันที”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว รออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ!”
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่แอบแฝงด้วยความระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาก็ฟังออก จึงกล่าวออกมาด้วยความเก้อเขินในทันที
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก! ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยเห็นเขามาก่อน ย่อมไม่กล้าเปิดค่ายกลเพียงเพราะคำพูดของเขาเพียงฝ่ายเดียว และยอมให้เขาเข้าไปในนั้น
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงกับไป๋ชิงไห่ผู้นี้ก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกค่ายกล และคุยกันเล่นเล็กน้อย
พอไป๋ชิงไห่เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะบุกเข้าไปในค่ายกล ก็มีความเชื่อมั่นในตัวเขาขึ้นมาแปดถึงเก้าส่วน บวกกับที่ได้เห็นหลิ่วหมิงแสดงอานุภาพในตอนที่เขาอยู่ในค่ายกล ซึ่งสามารถฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งได้ด้วยตัวคนเดียว และสามารถขับไล่ผู้อาวุโสหน้าตกกระไปได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจเขาเต็มไปด้วยรู้สึกเคารพและยำเกรง จนหายข้องใจในตัวเขาเกือบหมดสิ้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่า ก่อนหน้านั้นกองทหารที่คุ้มกันนำส่งของประมูลของเรือนร้อยวิญญาณเหล่านี้ ถูกผู้ฝึกปราณที่แอบซุ่มอยู่สองข้างถนนสายหลัก ใช้ธนูโจมตีไปแล้วรอบหนึ่ง จนหน่วยเงาปีศาจของเหล่านี้ถูกฆ่าไปเกินกว่าครึ่ง หลังจากนั้นผู้อาวุโสหน้าตกกระถึงพาศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ มาปรากฏตัวบนอากาศ และจู่โจมอย่างกะทันหัน
ผู้ฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามมีมากถึงเพียงนี้ ทางฝ่ายของพวกเขามีศิษย์จิตวิญญาณแค่สี่คน ย่อมไม่อาจต้านทานได้ ทำได้เพียงแต่พาคนที่เหลือถอยไปยังถนนข้างหนึ่ง
จนสามารถหลบนี้มายังสถานที่นี้ที่พอจะตั้งค่ายกลได้ คนทั้งสี่ใช้ธงค่ายกลชุดหนึ่งที่เป็นของประมูล มาตั้งเป็นค่ายกลทองคำจตุสัตว์ด้วยความรวดเร็ว
แต่ขณะนั้น คนของพวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บหลายคน หน่วยเงาปีศาจที่เหลือก็ถูกฆ่าตายไปจนหมดสิ้น
“ไม่เห็นมีศพในตอนที่ข้าผ่านมาเลย คิดว่าคงถูกพวกเขาจัดการไปหมดแล้ว ใช่สิ! ฟังจากคำพูดของสหายไป๋ ท่านคงรู้สถานะที่แน่ชัดของคนเหล่านี้แล้ว พวกเขาใช่คนของหอรวมสมบัติหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยความสงสัย
“ใยต้องยืนยันด้วยเล่า? หยางคุนผู้นี้เป็นปีกที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์ชายเก้า คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนข้างกายองค์ชายเก้า” ไป๋ชิงไห่ได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! สหายไป๋ใยต้องเศร้าใจไปเล่า อย่างไรซะสิ่งของประมูลเหล่านี้ต่างก็ได้รับการคุ้มครองแล้ว อีกอย่างครั้งนี้พวกเขาเสียศิษย์จิตวิญญาณไปสี่คน ก็นับว่าสูญเสียไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมา
“พี่เฉียนกล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้องค์ชายเก้ากับหอรวมสมบัติได้สูญเสียไปไม่น้อย เชื่อว่าการสูญเสียนี้จะทำให้พวกเขาอยู่เงียบๆ ไปอีกนาน” ไอสีขาวในทะเลหมอกพวยพุ่งออกมา ผู้อาวุโสหน้ารูปสี่เหลี่ยม อายุราวๆ หกสิบกว่าปีเดินออกมาจากในนั้น และคารวะหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“ข้าขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือสหายซุนอิ๋น มีสถานะเหมือนกับผู้อาวุโสเหมี่ยน เป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งของเถ้าแก่เฉียน” พอไป๋ชิงไห่เห็นชายหน้าเหลี่ยม ก็รีบแนะนำด้วยความดีใจ
“ที่แท้สหายซุนก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน มิน่าละ! ถึงเอาตัวรอดจากการโจมตีของคนจำนวนมากขนาดนี้ได้” หลิ่วมองผู้อาวุโสอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มบางๆ
“เฮ่อๆ! ความสามารถอันน้อยนิดของข้านี้ ไหนเลยจะกล้าแสดงออกต่อหน้าสหายเฉียนได้ อานุภาพที่สหายแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้เห็นหมดแล้ว ข้ายังห่างชั้นจากท่านมากนัก” ซุนอิ๋นโบกมือกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เรือเหาะสีเทาลำหนึ่งกำลังเหาะเข้ามา
ไป๋ชิงไห่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็กล่าวด้วยความดีใจ
“คนของอ๋องสาม!”
“ฮึ! พวกเขามาช้าขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่เฉียนมาทันเวลา พวกเราอาจไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้” ซุนอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ขณะนี้เรือเหาะสีเทาได้เหาะเข้ามาใกล้พวกเขา หลังจากมีเงาร่างเคลื่อนไหว ชายหญิงคู่หนึ่งก็กระโดดลงจากบนนั้น ทหารสวมชุดทะมัดทะแมงยี่สิบกว่าคนกระโดดตามลงมา แต่ละคนถือดาบสะพายธนู ท่าทางคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก
“เอ๋! พี่ซุน พวกท่านปลอดภัยแล้ว ไอ้โจรปล้นสะดมเหล่านั้นล่ะ?” ชายฉกรรจ์ที่โดดลงจากเรือเหาะมีหนวดงอโง้ง หน้าตาอัปลักษณ์ พอเขาเห็นว่าซุนอิ๋นและคนอื่นๆ ปลอดภัย ก็อดที่จะถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา