ผู้หญิงอายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างอวบอ้วน คลุมเสื้อคลุมสีแดงระเรื่อ มีดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่ติดอยู่บนศีรษะ รูปร่างหน้าตาหยาบกร้านแลดูอัปลักษณ์ ในมือถือกระบองยักษ์อันหนึ่ง ความยาวของมันเท่ากับส่วนสูงของคนหนึ่งคน
ชายที่อยู่ข้างๆ อายุประมาณสี่สิบกว่าๆ สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีน้ำเงิน หน้าตาธรรมดา มีกระบี่สั้นอยู่ในฝักไม้สีเหลืองติดอยู่ที่เอว มือถือธนูยักษ์ยาวสามฉื่อ[1] บนธนูไม่มีลูกธนูอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องมือที่โจมตีหลิ่วหมิงเมื่อครู่นี้
“พวกเจ้าไม่ใช่หน่วยพยัคฆ์ทมิฬ?” หลิ่วหมิงจ้องมองบุคคลทั้งสอง หายใจเข้าลึกๆ แล้วถามออกไป
ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะมฤตยูด้วยตัวเองมานานหลายปี ทำให้เขาเรียนรู้ว่าก่อนจะลงมือควรคิดวิธีการหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ก่อน
ที่พูดออกไปแบบนี้ก็เพื่อลองหยั่งเชิงดูก่อน และเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการถ่วงเวลาด้วย
ในความเป็นจริงแล้วตอนที่ตาจ้องมอง ในหัวสมองของหลิ่วหมิงก็เริ่มทำงานทันที
“ผู้หญิงคนนี้ลำแขนอวบใหญ่ ฝีเท้าหนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีพละกำลังแข็งแกร่ง ในเรื่องของความเร็วอาจจะด้อยไปหน่อย แต่อาวุธในมือนางอย่าได้โดนตัวเป็นอันขาด ส่วนผู้ชายนั้นสิบนิ้วของเขาดูมั่นคงขาวสะอาด สายตาเศร้าหม่น เขาอาจมีความชำนาญพิเศษในด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ต่อสู้กับเขาควรต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”
ชายหญิงสองคนที่อยู่ด้านหน้ามิอาจรู้ได้เลยว่าหนุ่มน้อยร่างกายอ่อนแอผอมบางจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ นี้คิดอะไรอยู่ในใจ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้พบคู่ต่อสู้ที่ยังเด็กแบบนี้ ใบหน้าทั้งสองแสดงความพึงพอใจขึ้นมา
ชายคนนั้นเอามือคว้าลูกธนูบนเอว มาใส่ในคันธนูยักษ์จนเต็มช่อง ในขณะเดียวกันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“หลิ่วหยางจง ชาวเมืองหยางหยวน เขตจันหนาน เจ็ดปีก่อนได้โดนโทษหลอกหลวงจักรพรรดิ ถูกทางการจับไปขังยังคุกใหญ่ที่เขตหนานหลาน จากนั้นก็ป่วยตายในคุก หลิ่วหมิงที่เป็นลูกชายเนื่องจากยังเป็นเด็กเลยเว้นโทษตาย แต่ถูกส่งตัวไปขังที่เกาะมฤตยูตลอดชีวิต แต่ทว่าเดือนก่อนหน้านี้เกาะมฤตยูได้จมลงไปในท้องทะเลอย่างไม่มีสาเหตุ นักโทษบนเกาะส่วนมากล้วนจมไปในใต้ท้องทะเล มีแค่หลิ่วหมิงกับคนอีกสิบเอ็ดคนถือโอกาสนี้หนีรอดจากทะเลแห่งความตายมาได้ ตอนนี้ทางการออกหมายจับพร้อมเงินรางวัล โดยไม่สนว่าจะจับเป็นหรือจับตายได้ ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม ”
ชายผู้นั้นเพิ่งพูดจบ หญิงอัปลักษณ์เสื้อแดงด้านข้างก็หัวเราะเสียงแหลมออกมา
“เจ้าเด็กน้อย คนผู้นี้ตายด้วยเงื้อมมือของข้าสองสามีภรรยาเมื่อเจ็ดวันก่อน ดูสิว่ามันใช่สหายของเจ้าหรือเปล่า”
ในขณะนั้นนางก็ดึงถุงหนังที่เอว แล้วเหวี่ยงโยนไปที่พื้น
“ตุ้บ ตุ้บ” ถุงหนังพลิกไปบนพื้น ศีรษะคนที่เต็มไปด้วยคราบเลือดหลุดออกมาจากถุง
ศีรษะนี้มีหนวดเต็มใบหน้า ผิวหนังดำหยาบกร้าน อ้าปากค้าง อายุอานามประมาณสี่สิบกว่าๆ
เด็กหนุ่มเหลือบตามองไปยังศีรษะนั้น หัวใจของเขาร่วงหล่นฉับพลัน พร้อมเรียกชื่อเบาๆ “เถี่ยโถว”
“ในเมื่อเจ้ารู้จักคนผู้นี้ ข้าคิดว่าที่ข้าพูดไปมันคงไม่ผิด เจ้าเด็กน้อย วางมือแล้วยอมให้เราจับซะโดยดี ข้าสองสามีภรรยาจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วนำเจ้ากลับไปคุมขัง ไม่แน่นะว่าอาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ถ้าพวกข้าลงมือขึ้นมาเจ้าจะต้องตายสถานเดียว” ชายเสื้อน้ำเงินกล่าวขึ้น หลังจากเอาลูกธนูมาเติมด้วยความชำนาญ
“ทั้งสองท่านรู้จักข้าดีเช่นนี้ ท่านทั้งสองคงเป็นคนของทางการใช่ไหม ไม่ทราบว่าอยู่ในตำแหน่งขั้นใด แต่ทว่านำคำพูดเหล่านี้มาหลอกล่อข้า หรือมารังแกข้าแบบนี้ เพราะคิดว่าข้าเป็นเด็กแล้วข้าไม่รู้กฏหมายของแคว้นต้าเสวียนหรือ! ที่ข้าฆ่าคนของทางการกับหน่วยพยัคฆ์ทมิฬไปเยอะขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้จักรพรรดิและเหล่าขุนนางออกโรงปกป้องข้าด้วยตนเอง แต่ข้าก็คงไม่วายโดนโทษเชือดสับเป็นหมื่นพันชิ้น ” หนุ่มน้อยกะพริบตาแล้วกล่าวขึ้น โดยไม่เชื่อในคำพูดของชายเสื้อน้ำเงิน
ชายเสื้อน้ำเงินได้ฟังคำตอบกลับมาแบบนี้ก็ได้แต่อุทานหึ! ออกมา ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
หญิงอัปลักษณ์เสื้อแดง กลับหัวเราะกิ๊กกั๊กแล้วพูดขึ้นมาอีก
“คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่ถึงแม้จะยังเด็ก แต่รู้กฏหมายของแคว้นต้าเสวียนเยอะถึงขนาดนี้ คนจากเกาะมฤตยูนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงอายุจะน้อยก็ไม่อาจสบประมาทได้ ข้าสองคนสามีภรรยาเป็นคนของทางการจริง น้องชายหลังจากพวกข้าส่งเจ้าลงนรกไปแล้วอย่ามาโทษว่าผู้ใหญ่อย่างพวกข้ารังแกเด็กอย่างเจ้าก็แล้วกัน สามีข้า ลงมือเถอะ!”
หลังพูดจบ สีหน้าของหญิงอัปลักษณ์เย็นเยือกในบัดดล กวัดแกว่งกระบองยักษ์ในมือใส่เด็กน้อยหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง รูปร่างที่อวบอ้วนแท้จริงแล้วคล่องแคล่วปราดเปรียวได้ถึงเพียงนี้ อาวุธยักษ์ที่กวัดแกว่งอยู่ในมือแลดูเบาราวกับไร้น้ำหนัก
ทางฝั่งของชายเสื้อน้ำเงินเมื่อฟังจบแล้วก็รีบยกธนูยักษ์ขึ้น เพียงแค่กระตุกข้อมือ ลูกธนูสิบกว่าดอกกลายเป็นลำแสงเย็นเยือกพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่ม
ถ้าหากเด็กหนุ่มคิดหลบไปทางซ้ายขวา ก็ยากที่จะหลบการจู่โจมของลูกธนูได้ แต่หากว่าหลบอยู่ในพุ่มไม้ก็ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของหญิงอัปลักษณ์ สองคนนี้สมกับที่เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ช่างเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม
พอหลิ่วหมิงเจอกับสถานการณ์แบบนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็สูดลมหายใจเข้าอย่างดุเดือด สองมือผสานกันกวัดแกว่งคมกระบี่สีเงินในมือ กลายเป็นแสงสายฟ้าอันเย็นสะท้านมุ่งผ่าไปยังกะโหลกศีรษะของหญิงอัปลักษณ์
เขาต่อสู้โดยไม่สนใจกระบอกยักษ์นั้น โหมพลังเสี่ยงชีวิตเข้าไปต่อสู้
ม่านตาของหญิงอัปลักษณ์หดตัวลง ถึงแม้จะรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้คิดที่จะตายไปพร้อมกับนาง แต่ก็ไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอีกครั้ง จำใจค่อยๆ หยุดมือไปพักหนึ่ง กระบองในมือกวัดแกว่งกลับมา เปลี่ยนทิศทางทุบไปที่คมกระบี่ยาวสีเงิน
หลิ่วหมิงกระตุกข้อมือคมกระบี่ยาวสีเงินก็ถอนกลับมาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มันประทะกับกระบองยักษ์ แล้วฟาดผ่าไปทางซ้ายขวา
“เต้ง เต้ง” เสียงปะทะดังขึ้น
ลูกธนูสองดอกหักเลี้ยวพุ่งมาที่หลิ่วหมิง กระทบกับกระบี่แล้วกระเด็นออกไปในทันที
“เจ้าเด็กสารเลว!”
ชายเสื้อน้ำเงินเห็นที่อยู่ไกลออกไปเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็อดที่จะกร่นด่าออกมาไม่ได้ มือคว้าไปที่เอวหยิบลูกธนูมาเติมใส่อีกครั้ง ท่าที่เขาใช้เมื่อสักครู่เป็นท่าโจมตีพิเศษที่ควบคุมลูกธนูให้วนกลับไปโจมตี โดยที่ศัตรูไม่รู้ตัว ซึ่งเขาใช้จัดการศัตรูมาได้นักต่อนักแล้ว คาดไม่ถึงว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับเด็กหนุ่มคนนี้
หญิงอัปลักษณ์ก็รู้สึกคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่หลังจากที่อุทานหึออกมาก็กวัดแกว่งกระบองในมือต่อสู้กับเด็กหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง
ทุกครั้งที่นางกวัดแกว่งกระบองในมือจะปรากฏลมพายุหมุนเป็นวงกว้างขึ้นมา ราวกับเป็นอสูรร้ายที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
ในทางตรงกันข้ามกระบี่สีเงินของเขากลับไม่ได้ปะทะเข้ากับกระบองยักษ์ เพียงแค่กลายเป็นแสงสีเงินล้อมรอบตัวหญิงอัปลักษณ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา