อ่านสรุป ตอนที่ 203 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 203 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
“ทราบ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” องครักษ์ผู้ฝึกปราณคนนั้นตอบรับ แล้วก็ถ่ายทอดคำสั่งออกไป
ขณะนี้ แขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่เหลือก็แบ่งกันไปตามหาที่นอกวัง
ชิวหลงจื่อตะคอกเสียงสั่งอีกคนที่อยู่ด้านข้างสองสามประโยค แล้วก็หมุนตัวพาผู้ฝึกปราณคนสนิทไม่กี่คน พุ่งตรงเข้าไปในพระราชวัง
ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่เขาจัดเวรยามยืนเฝ้าอย่างแน่นหนาแล้ว ในที่สุดก็มาถึงหน้าตำหนักที่งดงามเป็นพิเศษ ด้านในมีแสงสว่างจากตะเกียง ด้านนอกมีทหารองครักษ์เกราะเงินที่มีกลิ่นไอโหดเหี้ยมยืนอยู่ร้อยกว่าคน ทหารแต่ละคนต่างก็หุ้มเกราะถือดาบ แบ่งออกเป็นหลายแถว ยืนขวางอยู่หน้าตำหนัก โดยไม่คิดที่จะหลีกทางให้ชิวหลงจื่อเลยแม้แต่น้อย
“ชิวหลงจื่อ คารวะฝ่าบาท! ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรใช่ไหม!” ชิวหลงจื่อ หยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้าทหารชุดเกราะ หลังจากที่ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย ก็ป้องมือออกไปทางตำหนักแล้วถามออกไป
“ผู้บัญชาการชิว ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ถูกคนชั่วผู้นั้นทำให้ตกใจเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจับมันมาได้หรือยัง?” เสียงชายที่ไร้เรี่ยวแรงดังออกมาจากในตำหนัก
“ฝ่าบาทไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เดิมทีคนชั่วผู้นั้นจะถูกจับได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่มีคนมาช่วยไว้ได้ ดังนั้นมันจึงหนีออกวังไปแล้ว แต่ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันได้ให้คนปิดประตูทั้งสี่ด้าน และยังส่งคนออกไปตามล่ามัน เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีข่าวส่งมา นอกจากนี้ฝ่าบาททรงทราบใบหน้าที่แท้จริง กับวัตถุประสงค์ที่เข้าวังของคนผู้นี้หรือไม่?” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่! มันถูกข้าพบเข้ากะทันหัน และยังสามหน้ากากอยู่ตลอดเวลา ข้าจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันได้อย่างไร ฮึ! หรือว่าเจ้าสงสัยข้า?” น้ำเสียงจากในตำหนักเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“มิกล้า! หม่อมฉันเพียงแค่กังวลว่า คนผู้นี้เข้าวังเพราะคิดจะทำอะไรบางอย่างที่เราไม่อาจรู้ได้ และกังวลว่าจะมีคนอื่นซ่อนตัวอยู่ตามตำหนักต่างๆ ก็เท่านั้น” แม้ว่าชายฉกรรจ์จะกล่าวอย่างนอบน้อม แต่สายตาที่จ้องมองเข้าไปตำหนักกลับดูหวาดระแวงอย่างอดไม่ได้
ถ้าเขาฟังไม่ผิดล่ะก็ น้ำเสียงของคนในตำหนัก ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมลมหายใจได้
จักพรรดิเสวียนจื้อผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง ถ้าเพียงแค่ ‘ตกใจ’ เล็กน้อยล่ะก็ คงไม่ถึงกับขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิผู้นี้กำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และไม่พูดความจริงกับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำอย่างเขา
“อืม! ที่แท้ผู้บัญชาการชิวก็เป็นห่วงข้า งั้นข้าก็จะไม่โทษเจ้าแล้ว! แต่คนชั่วผู้นั้นช่างเหิมเกริมยิ่งนัก บังอาจเข้าวังมาทำให้ข้าตกใจ เจ้าจะต้องจับคนผู้นี้มาให้ได้ ข้าไม่สนว่าจะจับเป็นหรือจับตาย! เจ้ารีบไปจัดการเถอะ!” เสียงชายในตำหนักแผ่วลงไปมาก และกัดฟันกล่าวออกมา
“ทราบ! หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา! แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด หม่อมฉันจะให้คนของหม่อมฉันอยู่ที่นี่สักสองสามคน จะได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทหารองครักษ์เหล่านี้” ชิวหลงจื่อกล่าว
“ไม่ต้องแล้ว! ข้าได้ส่งคนไปบอกแขกระดับจิตวิญญาณทอง ที่อยู่ใต้บัญชาการของผู้บัญชาการหลี่ว์แล้ว ผู้บัญชาการชิวไปให้ความสนใจกับการจับตัว ‘ผู้บุกรุกพระราชวัง’ เถอะ!” จักรพรรดิ์เสวียนจื้อ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้ว” พอชิวหลงจื่อได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็แสดงสีหน้าคล้อยตามออกมา
จากนั้น เขาก็พาผู้ฝึกปราณคนสนิทสองสามคนกล่าวทูลลา และเดินออกไป
“พี่ชิว มีเรื่องบางอย่างไม่ถูกต้อง! เมื่อครู่ข้าได้สืบมาแล้ว มีนางกำนัลคนหนึ่ง ได้ยินเสียงฝ่าบาทร้องอย่างเวทนาในตอนแรก แล้วถึงเห็นผู้บุกรุกคนนั้นพุ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาท อีกอย่างบนกระบี่ของมันเต็มไปด้วยโลหิตสดๆ ทั้งยังก่อเรื่องเลวร้ายถึงขนาดนี้ ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่เก็บตัวฝึกฝนกลับไม่สนใจอะไรเลย ดูเหมือนไม่คิดจะออกจากการเก็บตัวเลยแม้แต่น้อย และฝ่าบาทก็ไม่คิดที่จะลงโทษพวกเขา มันช่างแปลกประหลาดเสียจริง!” ชายชรารูปร่างผอมแห้ง ดวงตารูปสามเหลี่ยมเดินเข้ามากระซิบกับชิวหลงจื่อ
“ข้าก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปในตำหนักของฝ่าบาทได้ เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะพาคนไปตามผู้ที่บุกรุกเข้าวัง เจ้าแอบส่งพี่น้องสองสามคนไปสอดส่องอยู่ในวัง ถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไร ให้รีบรายงานข้าทันที” ชิวหลงจื่อสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ชิวโปรดวางใจ ข้าเข้าใจแล้วว่าควรทำเช่นไร” ชายชราดวงตารูปสามเหลี่ยมพยักหน้าเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย
ต่อมาไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงหน้ากำแพงสูงของพระราชวังอีกครั้ง
ชิวหลงจื่อกวาดสายตามองโลหิตสีดำบนพื้นทีหนึ่ง และโบกมือเรียกองครักษ์แถวนั้นมาสอบถาม หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงความดีใจออกมาทันที
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ สุนัขตัวจิ๋ว สีเหลืองทองขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง ก็พุ่งออกมา หลังจากนั้นเขาก็ทำท่ามือพูดอะไรบางอย่างกับมันเบาๆ ในบัดดลนั้นสุนัขจิ๋วสีเหลืองทองก็เดินวนโลหิตสีดำสองสามรอบ และสูดดมไปสองสามที หลังจากนั้นก็วิ่งพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที
“ไป! ตามสุนัขจิตวิญญาณไป! รอยเลือดนั้นเป็นของผู้ที่บุกรุกในก่อนหน้า เพียงแค่มันยังอยู่ในระยะร้อยลี้ ก็อย่าคิดว่าจะหนีการตามล่าจากสุนัขพันลี้ของข้าได้” ชิวหลงจื่อกล่าวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด จากนั้นก็พาคนอื่นๆ ตามสุนัขจิ๋วไป
“ถ้านิกายทั้งห้ารู้เรื่อง คงส่งอาจารย์จิตวิญญาณมากวาดล้างเสวียนจิงตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะส่งศิษย์จิตวิญญาณมาแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่า คนผู้นี้ได้รับการถ่ายทอดวิชากระบี่มาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้แสดงวิชากระบี่ออกมาเช่นนี้” ต่งไทเฮาฟังแล้วก็ส่ายหน้ากล่าว
“มันคงเป็นเช่นนั้น แต่เสด็จแม่ จนถึงตอนนี้พวกข้ายังสืบไม่ได้ว่า ศิษย์ตรวจตราเสวียนจิงของนิกายจันทราสวรรค์เป็นใคร ผู้ที่บุกรุกเข้าวังในคืนนี้คงไม่ใช่นางหรอกนะ?” เสวียนจื้อถอนหายใจยาวๆ ออกมา แต่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัย
“ศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์? อืม! ที่เจ้าพูดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ช่างเถอะ! ไม่ว่านางจะเป็นใคร แต่ถ้ากลายเป็นศพล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว รอผ่านไปอีกครึ่งปี งานใหญ่ของเผ่าเราก็เริ่มดำเนินการได้แล้ว พอถึงตอนนั้นต่อให้นิกายทั้งห้าจะรับรู้ข่าวอะไร ก็ไม่สามารถมาช่วยได้ทัน” ต่งไทเฮาพยักหน้า และกล่าวออกมาก่อนที่จะหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“หวังว่าจะผ่านครึ่งปีนี้ไปได้อย่างราบรื่น” เสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมา แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้มกล่าวออกมา
……
หลิ่วหมิงโอบร่างของหญิงสาวไว้ และพุ่งไปตามตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน ก็ห่างออกจากพระราชวังไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และกระโจนเข้าป่าไผ่ขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างถนนสองสาย
ในป่าไผ่มีศาลาหินขนาดไม่ใหญ่มากอยู่หลังหนึ่ง นอกจากถนนเล็กๆ สองสายแล้ว ก็ไม่มีถนนสายอื่นอีก
เขาได้ดูสถานที่แห่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่มันจะเปล่าเปลี่ยวเป็นพิเศษ ทั้งยังไม่มีคนเดินผ่านในตอนกลางคืนอย่างแน่นอน
พอเข้าไปในศาลาหิน เขาก็วางหญิงสาวไว้บนพื้น หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปดึงหน้ากากของนางออก
เผยให้เห็นใบหน้างดงามของหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีที่ขาวราวกับหยก แต่ตอนนี้แก้มทั้งสองแดงเข้ม ริมฝีปากดำคล้ำ และแตกแห้ง
ใจหลิ่วหมิงดิ่งลึกลงไปในทันที และเอามือแตะหน้าผากนางอย่างรวดเร็ว
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา