หลิ่วหมิงขมวดคิ้วทันที เขากวาดสายตามองดูริมฝีปากอันดำคล้ำของนางทีหนึ่ง แล้วพลันหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา และกรีดนิ้วของนางทันที ทันใดนั้นโลหิตสีดำก็หยดลงมาหนึ่งหยด มันโชยกลิ่นแปลกประหลาดบางอย่าง
ขณะนี้ สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป
หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบขวดโอสถออกมาสองสามใบ และใส่โอสถต่างๆ ลงในปากของนาง จากนั้นก็ใช้มือยกคางของนางนั้น เพื่อให้นางกลืนโอสถลงไปโดยที่ยังหมดสติอยู่
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็เก็บขวดโอสถเข้าไป และหยิบยันต์มาแปะบนตัวหญิงสาวผืนหนึ่ง
“ฟู่!” ม่านแสงสีขาวจางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของหูชุนเหนียง มันปกคลุมนางไว้อย่างแน่นหนา
ขณะนี้ เขาถึงค่อยๆ หันไปมองทางด้านหนึ่งของป่าไผ่อันมืดมิด และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ท่านทั้งสองช่างอดทนได้ดียิ่งนัก ตามข้ามาถึงที่นี่แล้วยังไม่ยอมลงมืออีก?”
“หืม! เจ้าสามารถมองเห็นวิชาซ่อนตัวของพวกข้าได้ ดูท่าพวกเราคงจะประมาทเจ้าไปหน่อย พี่เว่ย พวกเราแสดงตัวเถอะ!” น้ำเสียงแหบแห้งของชายผู้หนึ่ง ดังออกมาจากในป่าไผ่ด้วยความตกใจ หลังจากที่มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมา ชายสวมชุดคลุมยาวสีเทาสองคนก็เดินเข้ามา
คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ใบหน้าหล่อเหลา อีกคนหนึ่งรูปร่างเตี้ยแคระ ใบหน้าสีขาวเต็มไปด้วยจุดด่างดำ และดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก
แต่พอคนทั้งสองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มายืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ทำให้เขาความรู้สึกว่า พวกเขาสอดคล้องกันอย่างแปลกประหลาด
พอหลิ่วหมิงฉากนี้ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“เจ้าไม่ต้องคิดที่จะช่วยนางแล้ว นางถูกพิษแปลกประหลาดที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาของพวกเราทั้งสอง นอกจากพวกเราจะถอนพิษให้แล้ว ก็ไม่มีโอสถไหนถอนพิษได้อีก โอสถของเจ้าเหล่านี้ มีแต่จะทำให้นางเจ็บปวดขึ้นกว่าเดิม” ชายผู้มีหน้าตาหล่อเหลามองหูชุนเหนียงทีหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เฮ่อๆ! พี่เว่ยกล่าวได้ถูกต้อง ถ้าเจ้าไม่อยากมีจุดจบเช่นเดียวกับนางล่ะก็ ทางที่ดีควรจะหักคอของตัวเองซะ พวกข้าทั้งสองจะได้ไม่เปลืองแรง” พอชายที่มีรูปร่างเตี้ยแคระเอ่ยปาก คำพูดโหดร้ายก็เปล่งออกมา เขาคือผู้ที่มีน้ำเสียงแหบแห้งในก่อนหน้านั้น
“อย่างนี้ก็แสดงว่า พวกเจ้าจะต้องมีโอสถถอนพิษอย่างแน่นอน และก็หมายความว่าเพียงฆ่าพวกเจ้าทั้งสองได้ ก็สามารถช่วยสหายข้าได้แล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่กลับหรี่ตากล่าวออกมา
“อะไรนะ! เจ้าจะฆ่าพวกข้า ลำพังแค่เจ้าคนเดียวนี่นะ?” ชายรูปร่างเตี้ยแคระเปล่งเสียงหัวเราะอันน่าเกลียดออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าดูถูก
แม้ว่าชายหน้าตาหล่อเหลาจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ดูจากแววตาเยาะเย้ยแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องน่าขันสำหรับเขา
“ที่นี่ยังอยู่ในเสวียนจิง การที่จะจัดการศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสองคนในอึดใจเดียว ดูท่าคงต้องจัดการอย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาอย่างไม่สนใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ดึงถุงหนังสองใบออกมา แล้วโยนออกไปด้านหน้า
“ฟู่!” “ฟู่!” ถุงหนังทั้งสองหมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็มีเงาร่างสีขาว สีดำ สองกลุ่มพุ่งออกจากถุงหนังแต่ละใบ หลังจากที่มันหล่นลงพื้นคนละฝั่งแล้ว ก็กลายเป็นแมงป่องกระดูกขาวขนาดใหญ่ ยาวหลายฉื่อ กับหัวบินที่มีผมเผ้ากระเซิง และมีเขาสีเขียวอยู่บนหัว
“นี่คืออะไรกัน? ระวังตัวหน่อย ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้คงไม่ได้รับมือง่ายๆ” เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่รู้จักแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบิน พอเห็นพวกมันแล้ว ทั้งสองก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ชายหน้าตาหล่อเหลา รับรู้ถึงกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากทั้งสอง เขาก็รีบเตือนคู่หูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ดูท่าถ้าลงมือแค่คนเดียวคงไม่อาจจัดการเขาได้ พวกเราคงต้องร่วมมือกันเหมือนเดิม” ชายร่างเตี้ยแคระสังเกตดูแมงป่องกระดูกขาว กับหัวบินอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีเงินออกมาจากแขนเสื้อ
ส่วนชายหน้าตาหล่อเหลา ก็พลิกฝ่ามือทั้งสองขึ้น จากนั้นกระบองสั้นสีเขียวอ่อนก็ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสอง
แต่ขณะนั้นเอง ดวงตาของหัวบินก็เปล่งประกายดุร้ายออกมา และชิงลงมือก่อน
หัวปีศาจตนนี้แค่สะบัดหัว ผมยาวทั้งหัวก็ตั้งตรงขึ้นมา และกลายร่างเป็นตาข่ายยักษ์พุ่งเข้าใส่ชายร่างเตี้ยแคระ
ในขณะเดียวกัน ทางด้านแมงป่องกระดูกขาวก็กระแทกหางตะขอลงพื้น และกลายเป็นเงาร่างกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา
ไม่ว่าจะเป็นหัวบินหรือแมงป่องกระดูกขาว ล้วนแสดงออกได้โหดเหี้ยมกว่าที่ทั้งสองคิดไว้มาก
“ใช้วิชาประสานพลัง! ชายร่างเตี้ยแคระเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา และกระตุ้นเปลือกหอยในมือทันที แสงสีฟ้ากลุ่มใหญ่ม้วนตัวออกไป หลังจากที่มันพร่ามัว ก็กลายเป็นม่านวารีหนาๆ ปกคลุมทั้งสองไว้
และในขณะเดียวกัน ชายใบหน้าหล่อเหลาก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนที่จะโบกสะบัดกระบองสั้นในมือ คลื่นอักขระสีเขียวกระเพิ่มออกไปเป็นวงกลมซ้อนกันหลายวง พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในม่านวารี
ครู่ต่อมา ผลึกแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนพื้นผิวของม่านวารี
และขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวได้กระโจนมาถึงหน้าม่านวารีแล้ว มันอ้าปากพ่นหมอกพิษสีม่วงออกไป จากนั้นก็สะบัดหางตะขอ ก่อนที่จะมีเส้นสีดำพุ่งออกมาสิบกว่าเส้น ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
“ฟู่!”
พอหมอกสีม่วงพ่นลงบนผิวม่านวารี ผลึกแสงสีเขียวบนนั้น ก็สึกกร่อนไปกว่าครึ่งหนึ่ง
จากนั้นเส้นสีดำสิบกว่าเส้น ก็พุ่งเข้าไปโจมบนพื้นที่สึกกร่อนนั้น
“ฉึกๆ!” ไม่เพียงแต่ผลึกสีเขียวจะถูกทำลายจนแตกกระจายออกมา แม้แต่ม่านวารีก็ถูกโจมตีจนสั่นไหวอยู่ไม่หยุด
แมงป่องกระดูกขาวชูก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีม่านวารีอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าไปในม่านวารีอย่างพร่ามัว พริบตาเดียวก็กระโจนมาถึงหน้าชายใบหน้าหล่อเหลา
“เป็นไปไม่ได้!”
ดูเหมือนว่าชายใบหน้าหล่อเหลา ไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า
วิชาการป้องกันนี้ เกิดจากการประสานพลังของพวกเขาทั้งสอง บวกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางในมือ ถึงแสดงมันออกมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา