“ไม่ผิด พรุ่งนี้ข้าจะหาโอกาสส่งข่าวให้นิกาย แม้ว่าจะใช้วิธีที่เร็วที่สุด แต่กว่ากำลังสนับสนุนจากนิกายจะมาถึงเสวียนจิง คงใช้เวลาหนึ่งเดือนขึ้นไป และระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ มันเพียงพอที่เผ่าเจ้าสมุทรจะทำเรื่องหลายอย่างแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างรอบคอบ
“เสวียนจิงเป็นแผ่นดินของเผ่ามนุษย์เรา และเมืองทั้งเมืองล้วนถูกนิกายทั้งห้าร่วมมือกันวางชั้นจำกัดไว้ พอมีอาจารย์จิตวิญญาณเหยียบเข้ามาล่ะก็ จะสัมผัสโดนชั้นจำกัดจนผู้คนรู้กันทั้งเมือง เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ ส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบอย่างพวกเรา แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจ แต่จะก่อความวุ่นวายได้หรือ ต่อให้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ก็ส่งผลกระทบแค่ผู้ฝึกฝนอิสระบางส่วนเท่านั้น ไม่มีผลกระทบอะไรกับนิกายทั้งห้ามาก” หูชุนเหนียงส่ายหน้า และดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องนี้
“คำพูดของศิษย์พี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล! แต่เผ่าเจ้าสมุทรควบคุมพระราชวังไว้ได้ ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ต่อสู้จนยับเยินทั้งสองฝ่าย พวกเขาจะคิดทำอะไรอีก? เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเราน่าจะแอบส่งข่าวที่เผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวในวัง ให้กับกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่ม เช่นนี้แล้ว ต่อให้เผ่าเจ้าสมุทรคิดจะทำเรื่องอะไร ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายแล้ว” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“บอกข่าวเผ่าเจ้าสมุทรให้กับคนอื่น? มันจะไม่สะเพร่าไปหน่อยหรือ! หากมันก่อให้เกิดความวุ่นวายในเสวียนจิงล่ะ พวกเราจะอธิบายกับทางนิกายอย่างไร!” หูชุนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“เรื่องนี้คงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระอื่นๆ ล้วนมีคนฉลาดอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะได้ยินข่าวนี้ แต่ก็จะไม่เชื่อโดยง่ายอย่างแน่นอน พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อสืบดูว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพียงแค่ในช่วงระยะเวลานี้ มีกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มจับจ้องเผ่าเจ้าสมุทร จนพวกเขาไม่อาจกระทำการใดๆ ได้ เช่นนี้แล้ว พวกเราถึงอยู่รอกำลังสนับสนุนจากนิกายได้อย่างปลอดภัย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หูชุนเหนียนฟังหลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย หลังจากที่ครุ่นคิดไปมาหลายรอบ และรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด
“ดี! หลังจากศิษย์น้องวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้เถอะ! ถ้ามีกลุ่มอิทธิพลอื่นในเสวียนจิงแทรกเข้ามาล่ะก็ คิดว่าเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้น คงไม่มีเวลาว่างมาตามสืบพวกเรา ว่าแต่ศิษย์น้องคิดจะปล่อยข่าวนี้ออกไปอย่างไร อย่าให้เผ่าเจ้าสมุทรค้นพบร่องรอยได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจเจอตัวพวกเราได้”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ไม่ใช่ว่าในเสวียนจิงมีกลุ่มที่ขายข่าวโดยเฉพาะหรอกหรือ กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระเล็กๆ เหล่านี้ ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรอยู่แล้ว ข้าแค่ขายข่าวจริงกึ่งเท็จให้หนึ่งในกลุ่มเหล่านั้น คิดว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็คงแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิงแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ดูเหมือนศิษย์น้องพิจารณาได้รอบคอบมาก งั้นข้าก็วางใจแล้ว แม้ตอนนี้ข้าจะถอนพิษในร่างได้แล้ว แต่ก็เสียลมปราณไปไม่น้อย เกรงว่าคงต้องหลบอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาครึ่งเดือนกว่าๆ เรื่องอื่นๆ คงต้องให้ศิษย์น้องจัดการแล้ว” หูชุนเหนียงพยักหน้ากล่าวอย่างเกรงใจ
“ศิษย์พี่หูไม่ต้องเกรงใจ ท่านพักอยู่ที่นี่เถอะ! ข้าเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่ ในสถานการณ์ปกติย่อมไม่มีคนมารบกวน ใช่สิ! ข้ามีโอสถฟื้นฟูลมปราณอยู่สองสามขวด ศิษย์พี่ต้องการมันหรือไม่?” หลิ่วหมิงตอบรับออกไปในทันที
“ขอบคุณในน้ำใจของศิษย์น้อง วิชาของนิกายจันทราสวรรค์มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว โอสถทั่วไปมีผลไม่มากนัก แต่ข้าก็พกโอสถล้ำค่าที่ทางนิกายปรุงขึ้นเป็นพิเศษมาด้วย การฟื้นฟูพลังปราณเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น” หูชุนเหนียงยิ้มพราย รอยยิ้มของนางดูสวยงามราวกับบุปผา
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงใจเต้นทันที จากนั้นก็ละสายตาไปทางอื่น หลังจากคุยกับนางไม่กี่ประโยคแล้ว ก็สละห้องนอนให้กับนาง ส่วนตนเองก็กล่าวคำอำลาแล้วก็จากไป
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในห้องลับที่มีชั้นจำกัดปกคลุมอยู่ และเริ่มนับสมบัติที่ได้มาจากเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองคนนั้น
ขวดโอสถไม่กี่ขวดเหล่านั้นไม่ต้องพูดถึง มันต่างก็เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูพลังเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ากระบองสั้นสีเขียวทั้งสอง กับเปลือกหอยสีเงิน และธงสีฟ้าเล็กๆ ล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงใช้พลังเวทย์กระตุ้นของเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ก็พอจะคาดเดาราคาของมันได้
สองชิ้นแรกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีหกถึงเจ็ดชั้นจำกัด ส่วนธงเล็กสีฟ้านั้น เห็นได้ชัดว่ามีสิบสี่ชั้นจำกัด มันคืออาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง
สิ่งนี้ทำให้เขามองออกไปด้วยความดีใจ
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ เขาได้สัมผัสอาวุธจิตวิญญาณมาไม่ใช่น้อย แต่ส่วนมากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ส่วนระดับกลางนั้น เขาได้สัมผัสกับมันน้อยมาก
สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณโดยทั่วไปอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางก็นับว่าเป็นสมบัติที่ไม่เลวแล้ว ส่วนอาจารย์จิตวิญญาณที่มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงนั้นมีน้อยมาก
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ถึงแม้จะกระตุ้นได้แค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางลงไป แต่อานุภาพของมันก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำทั่วไปมากนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าธงเล็กสีฟ้านี้ เป็นสิ่งที่ใช้เสริมพลังของอาวุธจิตวิญญาณ
เขายังจำฉากที่ชายเผ่าเจ้าสมุทรเสียบของสิ่งนี้เข้าไปในร่าง และทำให้ร่างกลายเป็นของเหลวกึ่งโปร่งแสงในพริบตา ได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจในทันที
กระบองสั่นสีเขียวสองอัน กับเปลือกหอยสีเงินล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่เผ่าเจ้าสมุทรต่างก็มี และเห็นได้ชัดว่ามันไม่สอดคล้องกับพลังของเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ เพียงแค่หาโอกาสนำมันไปแลกหินจิตวิญญาณก็พอแล้ว
และธงเล็กสีฟ้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ทั้งยังเป็นตัวช่วยเสริมพลัง เขาสามารถนำไปตรวจสอบอย่างละเอียด และเพิ่มการกระตุ้นได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และเก็บสมบัติเหล่านี้เข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน แต่หลังจากพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ก็ปรากฏมุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่ง
ของสิ่งนี้หลิ่วหมิงได้มาจากการค้นตัวชายเผ่าเจ้าสมุทรที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้นั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณ ดูๆ แล้วก็ไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก
แต่เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดอีกรอบ กลับพบว่ามันมีจุดพิเศษบางอย่าง
ถึงแม้มุกดำจะมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าพื้นผิวของมันโปร่งใส ข้างในเต็มไปด้วยหมอกสีดำบางอย่าง และค่อยๆ ล่องลอยไปมา
หลิ่วหมิงเขย่ามันด้วยความแปลกใจ
มุกดำมีน้ำหนักเบามาก หลังจากหมอกสีดำค่อยๆ กลอกกลิ้งไปมาไม่กี่ครั้ง ก็เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงยิ่งรู้สึกสนใจมันมากขึ้น
หลังจากเขาตรวจสอบดูซักระยะแล้ว ในที่สุดก็แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วมุกดำคือภาชนะบรรจุสิ่งของที่ไม่รู้ว่าสร้างมาจากของสิ่งใด และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นถึงเป็นสมบัติที่แท้จริง
ด้วยความระมัดระวังของเขา ย่อมไม่หลับหูหลับตาทำลายมุกเม็ดนี้อย่างแน่นอน แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาแล้ว ก็หยิบธงค่ายกลออกมาจากอกเจ็ดแปดอัน และโยนไปรอบด้าน หลังจากนั้นก็ปักลงในมุมต่างๆ ของห้องลับอย่างมั่นคง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา