“ศิษย์พี่หูมีวิธีทำให้เจ้าเด็กนี่เข้านิกายจันทราสวรรค์ได้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ด้วยสถานะของข้า มันง่ายมากที่จะให้นางเข้าไปเป็นศิษย์นิกายสายนอก แต่จะกลายเป็นศิษย์นิกายสายในได้หรือไม่นั้น ต้องดูว่านางเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่ แต่ศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ จะมีตำแหน่งสูงกว่าศิษย์ชายมาโดยตลอด และศิษย์ที่ตั้งใจเรียนค่ายกล ก็จะยิ่งได้รับสิทธิพิเศษ ถ้าเจ้าเด็กนี่เข้าไปได้ล่ะก็ จะไม่มีใครมารังแกอีกแน่นอน เมื่อครู่ข้าได้แนะนำนิกายจันทราสวรรค์ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เขาก็ดูสนใจมาก แต่สุดท้ายจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ย่อมต้องดูว่าศิษย์น้องจะว่าอย่างไร” หูชุนเหนียงยิ้มอย่างสวยงาม
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับหรูผิง แต่ข้าอยากถามสักหน่อย หรูผิง เจ้าอยากไปเรียนค่ายกลที่นิกายจันทราสวรรค์จริงๆ หรือ? เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกล หรือผู้ฝึกฝนที่แท้จริง ล้วนเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าเป็นเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งล่ะก็ ด้วยความสามารถของข้า สามารถทำให้เจ้าร่ำรวยตลอดชีวิตได้อย่างง่ายดาย” หลิ่วหมิงเงียบไปซักพัก แล้วกล่าวกับเฉียนหรูผิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่หมิง ข้าคิดดีแล้ว ข้าไม่อยากเป็นคนธรรมดาอีก ข้าอยากเป็นผู้ฝึกฝนเหมือนท่าน และอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลด้วย ไม่อยากเป็นภาระของพี่หมิงในภายหลัง” เฉียนหรูผิงยืดอกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า ศิษย์พี่หู รอเสร็จเรื่องนี้แล้ว ให้หรูผิงตามท่านไปนิกายจันทราสวรรค์เถอะ! ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ต่อไปคงต้องขอให้ศิษย์พี่หูช่วยดูแลเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเป็นคนเด็ดขาดมาก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ป้องมือไปทางหูชุนเหนียงก่อนกล่าวออกมา
“อิๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้ชดใช้บุญคุณที่ศิษย์น้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว ใช่สิ! เรื่องที่เจ้าออกไปทำในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ และถามกลับไป
“หรูผิง เจ้ากลับไปฝึกฝนในห้องก่อน ข้าต้องคุยเรื่องสำคัญกับพี่หูของเจ้า” หลิ่วหมิงสั่งเฉียนหรูผิง
ตอนแรกที่เด็กหญิงได้ยินว่าหลิ่วหมิงยอมให้เข้านิกายจันทราสวรรค์ เขาก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ทำปากแดงๆ ยื่นออกมา แต่ก็ยอมไปจากห้องเล็กๆ อย่างเชื่อฟัง
“เจ้าเด็กนี่เชื่อฟังเจ้ามาก แต่พวกเจ้าทั้งสองคงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันล่ะสิ!” หูชุนเหนียงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“บิดาของหรูผิงเคยมีบุญคุณต่อข้าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าหาหรูผิงพบ เขาก็ถูกคนในตระกูลขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว เขาต้องร่อนเร่อยู่ตามท้องถนนมาโดยตลอด ถ้าจะยังอาลัยอาวรณ์ข้าอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ” หลิ่วหมิงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ศิษย์น้องดูสงบเช่นนี้ ดูท่าการออกไปทำงานในครั้งนี้ คงจะราบรื่นไปด้วยดี” หูชุนเหนียงถอนหายใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ค่อนข้างราบรื่นมาก ข้าส่งข่าวกลับไปนิกายแล้ว และยังให้กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระที่ซื้อขายข่าวปล่อยข่าวออกไปแล้ว เชื่อว่าข่าวอันน่าตกใจนี้ คงจะเข้าหูกลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ดีมาก ก่อนศิษย์น้องกลับมา ข้าได้ใช้ช่องทางพิเศษส่งข่าวเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรให้ทางนิกายแล้วเหมือนกัน เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายของข้ากับเจ้าคงทราบข่าวนี้แล้ว ไม่แน่อาจจะหารือเรื่องนี้กันอยู่ หรืออาจจะเริ่มรวบรวมกำลังคนแล้วก็ได้” หูชุนเหนียงได้ยินก็กล่าวอย่างพอใจ
“ช่องทางพิเศษ? อยู่ที่นี่ศิษย์พี่ก็สามารถส่งข่าวไปนิกายได้? ช่างน่านับถือยิ่งนัก! ตอนที่ข้ากลับมา ได้ค้นพบสายสืบของราชสำนักอยู่บนท้องถนนเป็นจำนวนมาก คนส่วนมากต่างก็ถือรูปของเจ้าไว้ด้วย ประตูเมืองก็ถูกปิดทั้งสี่ด้าน และมีแขกจิตวิญญาณทองคำคอยเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ดูท่าสถานะแฝงของศิษย์พี่คงถูกเปิดเผยแล้ว” แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องช่องทางพิเศษ แต่กลับหยิบรูปภาพออกมาจากอกแล้วส่งให้หญิงสาว
หูชุนเหนียงรับรูปภาพมาสังเกตดูสองสามที แล้วก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ
“วาดได้เหมือนกับหน้าตาในก่อนหน้าของข้ามากนัก ไม่แน่องค์ชายเจ็ดผู้นั้นอาจจะเป็นคนวาดเองได้ เกรงว่าครั้งนี้นายของข้าคนนี้ คงโดนพัวพันไปด้วย”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่ทำตามองบน และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
……
ในตำหนักแห่งหนึ่งของพระราชวัง
ต่งไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางกำลังจ้องมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเสวียนจื้อด้วยสีหน้าเยือกเย็น ชายหนุ่มผู้นั้นถูกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงสองฉื่อ ใช้มือข้างเดียวจับศีรษะลอยตัวอยู่ในอากาศ และกำลังถูกทำอะไรบางอย่างอยู่
เสวียนจื้อที่เป็นจักรพรรดิก็ยืนอยู่ข้างต่งไทเฮาด้วยสีหน้าคลุมเครือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา