สรุปตอน ตอนที่ 218 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
ตอน ตอนที่ 218 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนางแล้ว ถ้าได้เป็นศิษย์ประคองกระบี่ของปรมาจารย์เย่ท่านนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก
“การประลองในครั้งนี้ นอกจากหูชุนเหนียงกับซิ่วเหนียงแล้ว ศิษย์อีกสามคนก็ให้เป็นของนิกายปีศาจแล้วกัน เพราะครั้งนี้เทียนเหอไม่ได้พาศิษย์ของตนเองมาด้วย” เย่เทียนเหมยหันมากล่าวกับชายฉกรรจ์แซ่เหลย
“ผู้อาวุโสเย่โปรดวางใจ ครั้งนี้นอกจากนิกายเราจะพาอาจารย์จิตวิญญาณมาสี่คนแล้ว ยังพาศิษย์จิตวิญญาณมาสิบกว่าคน ซึ่งต่างก็มีพลังที่ไม่เลว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็เลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสามคน อีกประเดี๋ยวให้ออกไปประลองพร้อมกันกับจางซิ่วเหนียงและหูชุนเหนียงเถอะ” เย่เทียนเหมยกล่าวโดยไม่ต้องคิด
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับในทันที จากนั้นหันไปสั่งศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ก้าวออกมายืนเรียงเป็นแถวด้วยท่าทีองอาจ
ศิษย์เหล่านี้มีอายุแตกต่างกันไป อายุน้อยสุดยี่สิบกว่าปี มากสุดก็สี่สิบห้าสิบปี แต่ต่างก็มีกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดา
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป กลับค้นพบว่าหนึ่งในนั้นมีคนที่เขารู้จักด้วย ซึ่งนั่นก็คือตู้ไห่นั่นเอง
ตู้ไห่เองก็มองเห็นหลิ่วหมิงเช่นกัน แต่เขาเพียงแค่โค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา
“พวกเจ้าได้ก็ยินกันหมดแล้ว การประลองในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเราทั้งสองนิกาย ข้าจะต้องเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไปประลอง เฝิงหลง ตู้ไห่ ไป๋ชงเทียน พวกเจ้าออกไปประลองก็แล้วกัน!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกวาดตามองศิษย์ตรงหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยากจะอธิบายได้
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ฟังแล้ว ก็รีบก้าวไปโค้งตัวคารวะและตอบรับในทันที
ศิษย์ที่ชื่อเฝิงหลง เป็นชายฉกรรจ์อายุสี่สิบกว่าปี ฟังจากน้ำเสียงที่ไม่ตื่นตระหนกของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา
แต่หลิ่วหมิงกลับแอบถอนหายใจออกมา
เดิมทีคิดว่ารอกำลังสนับสนุนจากนิกายมาถึงแล้ว ตนเองก็ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอีก กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็ปรากฏตัวออกมาด้วย และเขายังต้องยื่นมือเข้าไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พวกเจ้าทั้งสามฟังให้ดี การประลองกับเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้ ถ้าคนใดแสดงออกได้โดดเด่น ทางนิกายจะมอบรางวัลตอบแทนให้อย่างไม่เสียดาย แต่ถ้าหวาดกลัวตัวตาย ทำให้เสียหน้านิกาย ข้าจะลงโทษตามกฎนิกายอย่างไม่ปราณี” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ และรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทั้งสามก็เหาะขึ้นไปบนรถเหาะทองเหลืองภายใต้การนำของชายฉกรรจ์แซ่เหลย
“นี่คือศิษย์สามคนที่นิกายปีศาจของพวกเจ้าส่งมาหรือ อืม! ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณระดับปลาย นับว่าไม่เลว! ภารกิจของพวกเจ้าง่ายมาก คือพยายามยื้อเวลาโดยก่อกวนคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไว้ ซิ่วเหนียงจะได้จัดการเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ทีละคน” เย่เทียนเหมยกวาดสายมองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก่อนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
แม้ตู้ไห่กับเฝิงหลงจะไม่รู้ว่าจางซิ่วเหนียงที่กล่าวถึงคือใคร แต่ภายใต้การจ้องมองของเย่เทียนเหมยผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำว่า ‘ไม่’ ออกมา
หลิ่วหมิงก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“เอาล่ะ! ได้เวลาได้ พวกเจ้าสงบจิตก่อน อีกสักครู่ก็จะเริ่มประลองแล้ว” เย่เทียนเหมยกล่าวออกไป จากนั้นก็ไม่ได้สนใจคนทั้งห้าอีก แต่กลับมองไปทางชายร่างผอมแห้ง
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ กำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาสงบจิตอยู่ด้านหน้าของเรือหยก สีหน้าเขาดูมีความมั่นใจกับการประลองที่จะเกิดขึ้นมาก
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็เพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมาเบาๆ
ขณะนี้ ม่านแสงสีฟ้าที่ปคลุมพระราชวังก็พร่ามัวกลายเป็นจุดแสงก่อนที่มันจะสลายไป
จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านใน เงาร่างคนหกคนขี่เมฆพุ่งทะยานขึ้นมา และเหาะพุ่งตรงมายังเรือหยก
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง เพื่อมองดูเงาร่างเหล่านั้นให้ชัดเจน
หนึ่งในนั้นเป็นธิดาเทพผู้นั้น ส่วนที่เหลืออีกห้าคน คนหนึ่งเป็นหญิงสวมเครื่องประดับเต็มศีรษะ คนหนึ่งเป็นข้ารับใช้ใบหน้าธรรมดา คนหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงสองจั้ง และอีกคนเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมผ้าแพร คนสุดท้ายกลับเป็นเงาร่างพร่ามัวที่ถูกแสงสีเลือดปกคลุมไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย
คนอื่นๆ เขาไม่รู้จัก แต่ต่งไทเฮากับจักรพรรดิเสวียนจื้อนั้นเขาจำได้ในทันที
เพราะเป็นคนที่ต้องให้ความสนใจมากที่สุดในเสวียนจิง เขาจึงได้เห็นรูปวาดของทั้งสองจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรกแล้ว
“คารวะอาสาม!”
พอต่งไทเฮาลงมาบนเรือหยกทก็รีบคารวะหงซานเป็นการใหญ่
“ฮึ! เจ้าเด็กตระกูลต่ง ครั้งนี้เจ้าทำพลาดเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าเคยส่งข่าวบอกว่าเสวียนจื้อมีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่ล่ะก็ เผ่าเกล็ดแดงอย่างพวกเราจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของเผ่าเกล็ดเขียวอย่างพวกเจ้าโดยเด็ดขาด ว่าแต่ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ในตัวของเจ้าเด็กนี่มีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่จริงๆ หรือ?” หงซานค่อยๆ กล่าวออกมา
“ท่านอาหงซานโปรดวางใจ ชีพจรเผ่าเจ้าสมุทรเหมือนกัน หลานจะกล้ารายงานเท็จได้อย่างไร เสวียนจื้อ ยื่นแขนของเจ้าออกมา” ต่งไทเฮากล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปสั่งเสวียนจื้อ
แม้ว่าใบหน้าเสวียนจื้อจะซีดขาวเล็กน้อย แต่พอได้ยินก็รีบยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา
พอชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็แสดงสีหน้าโหดเหี้ยม และสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทันใดนั้นเขาก็หยิบโอสถออกมาจากอกเม็ดหนึ่ง และโยนเข้าไปในปาก
“โอสถโลหิตเผาไหม้!”
แม้จะอยู่ห่างกันเช่นนี้ แต่หลิ่วหมิงยังคงมองเห็นลักษณะของโอสถนี้อย่างชัดเจน จนทำให้รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ชื่อของโอสถนี้ด้วย ดูท่าข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เจ้าไปตายก่อนเลยละกัน” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลืนโอสถลงไป ทันใดนั้นเส้นเอ็นตามผิวหนังก็เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง เส้นเลือดพองตัวขึ้นมาโดยฉับพลัน ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็ระเบิดออกมาจากตัวเขา
ชายฉกรรจ์นร่างยักษ์เพียงแค่ควงแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า กระบองยาวสีเลือดเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา เมื่อเขาขยับแขนทั้งสองมันก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ภายใต้การขยับตัว ร่างของเขาก็ลอยขึ้นตามลมราวกับใบหลิว
อีกด้านหนึ่ง หูชุนเหนียง ตู้ไห่ ต่างก็แยกกันไปสู้กับต่งไทเฮา และข้ารับใช้วัยกลางคน
มือทั้งสองของหูชุนเหนียงต่างถือกระบี่สั้นแวววาว นางเพียงแค่โบกสะบัด มันก็กลายเป็นเงากระบี่ฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง
มือข้างหนึ่งของต่งไทเฮาถือโล่สีเหลืองที่ดูเหมือนทองแต่ไม่ใช่ทอง เหมือนไม้แต่ไม่ใช่ไม้ อีกด้านถือคทาหยกสีขาวไร้ตำหนิ
ทั้งสองอย่างเปล่งประกายม่านแสงสีเหลืองเข้มออกมา เพียงแค่โบกสะบัดคทาเล็กน้อย ก็มีเงาร่างบุปผาสีขาวปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก ที่แท้สิ่งของทั้งสองอย่างต่างก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณประเภทคุ้มกันนั่นเอง เพียงแค่หมุนเวียนกันกระตุ้นมัน ก็สามารถต้านทานเงากระบี่จำนวนมากได้
ตู้ไห่ดึงดาบยาวตรงหลังออกมา ร่างของเขาแยกเป็นเงาร่างจางๆ สี่ห้าเงา และล้อมฟันหญิงรับใช้วัยกลางคนอยู่ไม่หยุด
หญิงรับใช้ยกกระดองเต่าสีเขียวจางๆ ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง มันปล่อยม่านแสงหนาๆ คุมกันร่างของนางไว้ ไม่ว่าแสงดาบจะฟันเข้ามาทั้งสี่ด้าน แต่นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
ส่วนชายวัยกลางคนที่ชื่อเฝิงหลงผู้นั้น กำลังต่อสู้กับอดีตจักรพรรดิแคว้นต้าเสวียนอย่างเสวียนจื้อ
แต่ยังไม่ทันที่เฝิงหลงจะยกมือปล่อยแท่งกระดูกดำสามแท่งออกไป เสวียนจื้อที่อยู่ตรงหน้ากลับโยนยันต์ที่มีแสงสีเงินเปล่งประกายมาทางเขา
“ตู๊ม!” แผ่นยันต์ดูพร่ามัว จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างฉลามขาวสีเงินจางๆ และอ้าปากงับมาทางเฝิงหลงอย่างโหดเหี้ยม
ภายใต้ความตกใจ เฝิงหลงได้แต่กระตุ้นแท่งกระดูกให้กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำปกคลุมร่างเขาไว้ เพื่อให้มันต้านทานเงาร่างฉลามขาวอันดุร้ายนี้ไว้ก่อน
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา