ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 217

สรุปบท ตอนที่ 217: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 217 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 217 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 217 นัดสู้
ตอนที่ 217 นัดสู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าหงซานเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ และคิดจะยื่นมือเข้าช่วย แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

แต่ขณะนี้เอง ชุดบนตัวหญิงสาวพลันเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา ร่างของนางหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นผู้อาวุโสครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา บนหัวของนางมีมงกุฏสีแดงสวมอยู่ สวมผ้าคลุมยาวสีเขียวหยก พอนางหรี่ตา และสะบัดแขนเสื้อกลิ่นไออีกแบบหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก

“ฟู่!”

กลิ่นไอทั้งสองพุ่งปะทะกันจนทำให้อากาศบริเวณนั้นส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา ขณะเดียวคลื่นสั่นสะเทือนก็ม้วนพัดเรือหยกจนร่นถอยออกไปอยู่ไม่หยุด

ถึงแม้สีหน้าของหญิงสวมชุดชาววังสีขาวและคนอื่นๆ จะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

“บนตัวมียันต์คุ้มกันที่มีพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นอยู่ ดูท่าเจ้าคงไม่ได้เป็นผู้น้อยธรรมดาในเผ่าเจ้าสมุทร” พอการโจมตีแบบไม่ใส่ใจของเย่เทียนเหมยไม่ประสบความสำเร็จ นางก็ไม่คิดที่จะลงมือต่อ แต่กลับมองหญิงสวมชุดชาววังสีขาวด้วยแววตาเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว

“ฮึ! โชคดีที่เซิ่งจีหลานสาวข้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ มิเช่นนั้นนิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้ากับเผ่าเกล็ดแดงของเราคงได้เห็นดีกัน” พอเห็นว่า ‘เซิ่งจี’ ไม่เป็นอะไร หงซานก็กล่าวอย่างโล่งอก

จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวก่อนมาปรากฏตัวบนเรือหยกราวกับปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการป้องกันเผื่อเย่เทียนเหมยจะลงมือกับธิดาเทพอีก

หญิงสาวชุดชาววังสีขาวก็รีบก้าวมาคารวะชายร่างผอมแห้งอย่างรวดเร็ว

“เซิ่งจี? หรือว่านางเป็นธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้า?” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย

“ข้าน้อยคือเซิ่งจีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเย่จะเคยได้ยินชื่อของข้าด้วย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากนัก” เดิมทีธิดาเทพรู้สึกตกใจกับการลงมือของเย่เทียนเหมย แต่พอหงซานมาปรากฏตัวบนเรือหยก นางก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมามาก

“ฮึ! จำไว้ให้ดี! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรกับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นไห่เยวี่ย แต่ถ้าเล่นลูกไม้อะไรในแคว้นต้าเสวียนของพวกเราล่ะก็ ต่อให้จะเป็นธิดาเทพของเผ่าเกล็ดแดง ข้าก็จะฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว” เย่เทียนเหมยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา

“ดูเหมือนว่าสหายเย่จะพูดข่มขู่ต่อหน้าข้า” แม้ว่าหงซานจะหวาดกลัวเย่เทียนเหมย แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้

“ไม่ได้ข่มขู่ แต่หวังว่าเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้าอย่าทำกับแคว้นต้าเสวียนเหมือนสถานที่ธรรมดาอย่างแคว้นไห่เยวี่ยก็พอ อีกอย่างเมื่อครู่เซิ่งจีหลานสาวของเจ้าพูดว่า จะมารับคนในเผ่าที่อยู่เสวียนจิงอะไรซักอย่าง? คิดว่านิกายทั้งห้าอย่างพวกเราตาบอดหรือไง? คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ยังบังอาจมาพูดต่อหน้าข้า ในเมื่อข้ามาถึงนี่แล้ว คิดจริงๆ หรือว่าคำพูดลมๆ แล้งๆ ไม่กี่ประโยค จะพาสามารถพาคนไปได้” คิ้วของเย่เทียนเหมยค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา

พอได้ยินคำพูดไม่เกรงใจของเย่เทียนเหมย สีหน้าของธิดาเทพกับหงซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่หลังจากมองหน้ากันทีหนึ่งแล้ว ชายร่างผอมแห้งก็หัวเราะเฮ่อๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ในเมื่อสหายเย่คิดที่จะฉีกหน้ากันจริงๆ ข้าก็จะขอถามตามตรงว่า ทำอย่างไรถึงจะพาคนเผ่าเดียวกันออกไปได้ สหายเย่อย่าคิดว่าที่นี่เป็นดินแดนของมนุษย์แล้วจะเรียกร้องอะไรมากได้ ถ้าข้าพยายามอย่างสุดชีวิตล่ะก็ สามารถสร้างความโกลาหลอลหม่านในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าได้” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม

“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทรจะพูดเช่นนี้ ได้! อย่างที่เจ้าพูด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านอื่นๆ ปรากฏตัวออกมา ข้ากับเจ้าต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน ใครก็ไม่อยากให้เกิดสงครามใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันจะกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าที่แท้จริง เช่นนี้เถอะ! จะได้ไม่หาว่าข้าไม่ไว้หน้าสหายหง คนของเผ่าเจ้าที่อยู่ในวังนั้น จะใช้การประลองตัดสินว่าพาไปได้หรือไม่ แต่สามารถพาไปได้แค่สามคนเท่านั้น คนอื่นๆ ต้องฆ่าตัวตายต่อหน้า เพราะว่าเรื่องนี้เผ่าเจ้าสมุทรของเจ้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาก่อน พวกเราทั้งห้านิกายไม่อาจไม่ฆ่าเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจพวกที่กระทำผิดได้” เย่เทียนเหมยเงียบไปซักพักแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อะไรนะ! ความหมายของสหายคือให้ข้าบีบให้คนของเผ่าตัวเองฆ่าตัวตาย!” หงซานได้ยินก็โมโหขึ้นมา

“ถ้าไม่รับปากล่ะก็ ข้ากับสหายคงต้องทำสงครามกันแล้ว ถ้าสหายเอาแต่หลบไม่ทำสงคราม แต่กลับลงมือกับผู้น้อยล่ะก็ข้าเย่เทียนเหมยสาบานว่า ถ้าสหายฆ่าผู้น้อยของนิกายทั้งห้าไปหนึ่งคน ข้าจะบุกไปน่านน้ำมหาสมุทรเพื่อฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในระดับเดียวกันสิบคน” เย่เทียนเหมยเปล่งประกายตาอันเยือกเย็นออกมา และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ใครก็ฟังเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในนั้นออก

พอหงซานได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

หากมีผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกไปฆ่าล้างบางเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาที่น่านน้ำมหาสมุทรล่ะก็ เกรงว่าการบาดเจ็บล้มตายจำนวนนี้เขาไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว

“ใยผู้อาวุโสเย่ต้องโมโหด้วยเล่า อาสามข้ายังไม่ได้บอกว่าจะไม่รับปากซักหน่อย แต่การประลองที่ท่านบอกว่าสามารถพาคนไปได้สามคนนั้น ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?” ธิดาเทพขมวดคิ้วแล้วถามออกไปเบาๆ

“ง่ายมาก อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็เลือกคนที่อยากพาไปออกมาสามคน ให้พวกเขาประลองกับศิษย์นิกายของพวกเราที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าพวกเจ้าชนะพวกเจ้าก็พาคนไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็ให้อยู่ที่นี่ตลอดไป” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“สามคนไม่พอ ต้องสิบคน” เทพธิดาพยากรณ์ทำหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล

ตอนนี้หลิ่วหมิงก็คารวะหญิงสาวชุดชาววังสีเงินตามชายฉกรรจ์แซ่เหลย แต่ก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่จำได้ว่า นางคือผู้ที่สังหารอสูรหนูขนเขียว และยังเป็นหญิงสาวลึกลับที่มอบโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ให้เขาในวันนั้น แต่อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย

“ศิษย์หลานเหลย ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะว่าศิษย์พี่เหลิ่งเยวี่ยกับสหายเยี่ยนได้สื่อสารกัน และป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดจึงส่งข้ามา! แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาด้วย” เย่เทียนเหมยกวาดสายตามองชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ หลังจากชะงักอยู่ที่หลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นแผนการที่รอบคอบของอาจารย์อาเยี่ยนกับอาวุโสเหลิ่งเยวี่ย แต่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้กลับส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมา ดูท่าคนที่ถูกขังอยู่ในวังคงเป็นคนที่สำคัญมาก ว่าแต่ที่พวกเขาเสนอให้ประลองพร้อมกันห้าคน คงไม่มีแผนอะไรซ่อนอยู่ในนั้นใช่ไหม!” หลินไฉอวี่กล่าวด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างมาก

“ในเมื่อพวกเขาเสนอการต่อสู้หมู่ออกมา จะต้องมีแผนอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าเสนอการประลองนี้ขึ้นมา ข้าย่อมมีความเชื่อมั่นของข้า ‘ซิ่วเหนียง’ เจ้าออกมาเถอะ!” เย่เทียนเหมยยิ้มบางๆ จากนั้นก็แตะมือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า ทันใดนั้นแสงสีขาวเป็นจุดก็สลายออกไป เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มีลักษณะห้าวหาญ และสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวนางหนึ่ง

นางก็คือจางซิ่วเหนียงที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่นั่นเอง!

ที่แท้ก่อนหน้านั้นนางถูกเย่เทียนเหมยแสดงวิชาซ่อนตัวไว้ จนถึงตอนนี้ถึงได้คลายวิชาให้นางปรากฏร่างออกมา

“ซิ่วเหนียงคารวะอาจารย์อา อาจารย์ลุง!” พอนางปรากฏตัวออกมาก็รีบคารวะอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลาย

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานจางจะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นการประลองในครั้งนี้จะต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแต่ไม่ใช่ว่าศิษย์หลานจางเตรียมเก็บตัวอยู่หรือ อีกไม่นานก็จะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วใช่ไหม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์อาเย่ได้?” หญิงอายุสามสิบกว่าปีของนิกายจันทราสวรรค์กล่าวด้วยความดีใจ จากนั้นก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา

“ข้าพาซิ่วเหนียงออกมาในครั้งนี้ เพราะได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ปรากฏที่เสวียนจิงชุดหนึ่ง และอยากจะดูมาดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มันเหมาะสมกับคุณสมบัติของซิ่วเหนียงหรือไม่ ถ้าเหมาะสมล่ะก็ ซิ่วเหนียงก็ใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้ควบแน่นเป็นปราณแกร่ง” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องเกี่ยวกับไอปีศาจบริสุทธิ์ อีกประเดี๋ยวให้ศิษย์หลานหูจัดการให้ก็ได้แล้ว นางเป็นศิษย์ตรวจตราในเสวียนจิง สามารถหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์ได้ง่ายมาก” โจวเทียนเหอได้ยินก็กล่าวอย่างนอบน้อม

“เจ้าเป็นคนค้นพบเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจหรือ? อ๋อ! เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของซิ่วเหนียงนั่นเอง! ดีมาก ถ้าเจ้าหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์ประคองกระบี่ของข้าเป็นเวลาสองปี นอกจากนี้ การประลองในครั้งนี้ก็นับเจ้าเข้าไปด้วยแล้วกัน” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเสียงที่จางซิ่วเหนียงส่งมา นางก็กวาดสายตามองหูชุนเหนียงที่อยู่ด้านข้าง และกล่าวออกมาด้วยความอ่อนโยนเป็นครั้งแรก

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา