แต่ขณะนี้เอง ชุดบนตัวหญิงสาวพลันเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา ร่างของนางหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นผู้อาวุโสครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา บนหัวของนางมีมงกุฏสีแดงสวมอยู่ สวมผ้าคลุมยาวสีเขียวหยก พอนางหรี่ตา และสะบัดแขนเสื้อกลิ่นไออีกแบบหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
“ฟู่!”
กลิ่นไอทั้งสองพุ่งปะทะกันจนทำให้อากาศบริเวณนั้นส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา ขณะเดียวคลื่นสั่นสะเทือนก็ม้วนพัดเรือหยกจนร่นถอยออกไปอยู่ไม่หยุด
ถึงแม้สีหน้าของหญิงสวมชุดชาววังสีขาวและคนอื่นๆ จะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“บนตัวมียันต์คุ้มกันที่มีพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นอยู่ ดูท่าเจ้าคงไม่ได้เป็นผู้น้อยธรรมดาในเผ่าเจ้าสมุทร” พอการโจมตีแบบไม่ใส่ใจของเย่เทียนเหมยไม่ประสบความสำเร็จ นางก็ไม่คิดที่จะลงมือต่อ แต่กลับมองหญิงสวมชุดชาววังสีขาวด้วยแววตาเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว
“ฮึ! โชคดีที่เซิ่งจีหลานสาวข้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ มิเช่นนั้นนิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้ากับเผ่าเกล็ดแดงของเราคงได้เห็นดีกัน” พอเห็นว่า ‘เซิ่งจี’ ไม่เป็นอะไร หงซานก็กล่าวอย่างโล่งอก
จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวก่อนมาปรากฏตัวบนเรือหยกราวกับปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการป้องกันเผื่อเย่เทียนเหมยจะลงมือกับธิดาเทพอีก
หญิงสาวชุดชาววังสีขาวก็รีบก้าวมาคารวะชายร่างผอมแห้งอย่างรวดเร็ว
“เซิ่งจี? หรือว่านางเป็นธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้า?” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าน้อยคือเซิ่งจีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเย่จะเคยได้ยินชื่อของข้าด้วย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากนัก” เดิมทีธิดาเทพรู้สึกตกใจกับการลงมือของเย่เทียนเหมย แต่พอหงซานมาปรากฏตัวบนเรือหยก นางก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมามาก
“ฮึ! จำไว้ให้ดี! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรกับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นไห่เยวี่ย แต่ถ้าเล่นลูกไม้อะไรในแคว้นต้าเสวียนของพวกเราล่ะก็ ต่อให้จะเป็นธิดาเทพของเผ่าเกล็ดแดง ข้าก็จะฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว” เย่เทียนเหมยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ดูเหมือนว่าสหายเย่จะพูดข่มขู่ต่อหน้าข้า” แม้ว่าหงซานจะหวาดกลัวเย่เทียนเหมย แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้
“ไม่ได้ข่มขู่ แต่หวังว่าเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้าอย่าทำกับแคว้นต้าเสวียนเหมือนสถานที่ธรรมดาอย่างแคว้นไห่เยวี่ยก็พอ อีกอย่างเมื่อครู่เซิ่งจีหลานสาวของเจ้าพูดว่า จะมารับคนในเผ่าที่อยู่เสวียนจิงอะไรซักอย่าง? คิดว่านิกายทั้งห้าอย่างพวกเราตาบอดหรือไง? คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ยังบังอาจมาพูดต่อหน้าข้า ในเมื่อข้ามาถึงนี่แล้ว คิดจริงๆ หรือว่าคำพูดลมๆ แล้งๆ ไม่กี่ประโยค จะพาสามารถพาคนไปได้” คิ้วของเย่เทียนเหมยค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา
พอได้ยินคำพูดไม่เกรงใจของเย่เทียนเหมย สีหน้าของธิดาเทพกับหงซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่หลังจากมองหน้ากันทีหนึ่งแล้ว ชายร่างผอมแห้งก็หัวเราะเฮ่อๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายเย่คิดที่จะฉีกหน้ากันจริงๆ ข้าก็จะขอถามตามตรงว่า ทำอย่างไรถึงจะพาคนเผ่าเดียวกันออกไปได้ สหายเย่อย่าคิดว่าที่นี่เป็นดินแดนของมนุษย์แล้วจะเรียกร้องอะไรมากได้ ถ้าข้าพยายามอย่างสุดชีวิตล่ะก็ สามารถสร้างความโกลาหลอลหม่านในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าได้” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทรจะพูดเช่นนี้ ได้! อย่างที่เจ้าพูด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านอื่นๆ ปรากฏตัวออกมา ข้ากับเจ้าต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน ใครก็ไม่อยากให้เกิดสงครามใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันจะกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าที่แท้จริง เช่นนี้เถอะ! จะได้ไม่หาว่าข้าไม่ไว้หน้าสหายหง คนของเผ่าเจ้าที่อยู่ในวังนั้น จะใช้การประลองตัดสินว่าพาไปได้หรือไม่ แต่สามารถพาไปได้แค่สามคนเท่านั้น คนอื่นๆ ต้องฆ่าตัวตายต่อหน้า เพราะว่าเรื่องนี้เผ่าเจ้าสมุทรของเจ้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาก่อน พวกเราทั้งห้านิกายไม่อาจไม่ฆ่าเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจพวกที่กระทำผิดได้” เย่เทียนเหมยเงียบไปซักพักแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อะไรนะ! ความหมายของสหายคือให้ข้าบีบให้คนของเผ่าตัวเองฆ่าตัวตาย!” หงซานได้ยินก็โมโหขึ้นมา
“ถ้าไม่รับปากล่ะก็ ข้ากับสหายคงต้องทำสงครามกันแล้ว ถ้าสหายเอาแต่หลบไม่ทำสงคราม แต่กลับลงมือกับผู้น้อยล่ะก็ข้าเย่เทียนเหมยสาบานว่า ถ้าสหายฆ่าผู้น้อยของนิกายทั้งห้าไปหนึ่งคน ข้าจะบุกไปน่านน้ำมหาสมุทรเพื่อฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในระดับเดียวกันสิบคน” เย่เทียนเหมยเปล่งประกายตาอันเยือกเย็นออกมา และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ใครก็ฟังเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในนั้นออก
พอหงซานได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หากมีผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกไปฆ่าล้างบางเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาที่น่านน้ำมหาสมุทรล่ะก็ เกรงว่าการบาดเจ็บล้มตายจำนวนนี้เขาไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว
“ใยผู้อาวุโสเย่ต้องโมโหด้วยเล่า อาสามข้ายังไม่ได้บอกว่าจะไม่รับปากซักหน่อย แต่การประลองที่ท่านบอกว่าสามารถพาคนไปได้สามคนนั้น ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?” ธิดาเทพขมวดคิ้วแล้วถามออกไปเบาๆ
“ง่ายมาก อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็เลือกคนที่อยากพาไปออกมาสามคน ให้พวกเขาประลองกับศิษย์นิกายของพวกเราที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าพวกเจ้าชนะพวกเจ้าก็พาคนไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็ให้อยู่ที่นี่ตลอดไป” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“สามคนไม่พอ ต้องสิบคน” เทพธิดาพยากรณ์ทำหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา