ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเพียงแค่แตะแผ่นป้ายเบาๆ จากนั้นก็เก็บกระบองสั้นเข้าไป และหยิบยันต์สีทองออกมามอบให้หลิ่วหมิงผืนหนึ่ง
“นี่คือยันต์แสงสีทอง เป็นยันต์หลบหลีกที่พบเจอได้น้อยมาก ถ้าหากพบศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงแค่หยิบมันมาใช้ ก็สามารถหลบหลีกได้ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณโดยทั่วไปก็ไม่อาจไล่ตามได้ทัน” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงที่ส่งมาของชายฉกรรจ์แซ่เหลยดังอยู่ข้างหู
“ขอบคุณอาจารย์อา!”
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็มองออกไปด้วยความดีใจ จากนั้นถึงเก็บยันต์สีทองเข้าไปอย่างระมัดระวัง และไปยืนข้างๆ อย่างนอบน้อม
ทางด้านหูชุนเหนียงในเวลานี้ หลังจากที่นางตอบคำถามโจวเทียนเหอกับคนอื่นๆ อีกสองคนแล้ว ก็หยิบแขนอันแห้งเหี่ยวออกมา
โจวเทียนเหอตรวจสอบดูแขนข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นหญิงอายุสามสิบกว่าปีก็เอานิ้วจิ้มแขนอันแห้งเหี่ยวก่อนที่เปลวเพลิงสีแดงจะลุกไหม้ขึ้นมา
ท่อนแขนอันแห้งเหี่ยวเผาไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงอันคุโชน แต่ผ่านไปไม่นานฉากอันน่าแปลกใจก็ได้บังเกิดขึ้น
ท่อนแขนที่ดูเหมือนใกล้จะกลายเป็นเถ้าถ่าน พลันส่งเสียงดัง “ฟู่!” ขึ้นมา สีของเปลวไฟกลายเป็นสีเขียวจางๆ
“สหายเหลย ดูท่าคนเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้คงจะมีสถานะไม่ธรรมดา ในแขนของเผ่าเจ้าสมุทรท่อนนี้ มีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่ ถ้าหากสถานที่แห่งนี้มีคนเผ่าเจ้าสมุทรทีมีเชื้อพระวงศ์ล่ะก็ ดูท่าพวกเราคงต้องเปลี่ยนแผนแล้ว!” หลังจากเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ โจวเทียนเหอก็กล่าวกับชายฉกรรจ์แซ่เหลยด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“เชื้อพระวงศ์! มันช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก แต่ในเมื่อมาถึงสถานที่อย่างเสวียนจิง และทำภารกิจอันตรายระดับนี้ ต่อให้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ของเผ่าเจ้าสมุทร ก็คงไม่ใช่คนที่สำคัญเท่าไหร่” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยิน ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“มันก็อาจเป็นไปได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราไม่อาจเสี่ยงได้ เอาอย่างนี้เถอะ! เดิมทีพวกเราทั้งสองนิกายคิดจะสังหารเผ่าเจ้าสมุทรไปทั้งหมด โดยไม่คิดจะปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว ไม่สู้เปลี่ยนเป็นจัดการเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาทั้งหมด แต่เว้นชีวิตผู้นำไม่กี่คนไว้ เพื่อดูว่าจะสอบถามอะไรจากพวกเขาได้บ้าง?” ชายชุดคลุมสีขาวลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามนี้เถอะ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา
“ดี! งั้นข้าจะใช้อัสนีเก้าดาราทำลายค่ายกลนี้ก่อน” โจวเทียนเหอมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมามาก จากนั้นก็ยกกล่องหยกขึ้นมาเปิด
ยันต์สีเหลืองบนหล่องหยกกลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนจะสลายไป จากนั้นฝากล่องหยกก็ถูกเปิดอก เผยให้เห็นมุกสีเงินขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่ในนั้น
มุกกลมเม็ดนี้มีผิวแวววาว พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยแสงประหลาดจางๆ แต่พอจ้องมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามีอักขระสีเงินเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าได้อยู่เต็มไปหมด และทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
โจวเทียนเหอถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบมุกกลมๆ นี้ออกมาจากกล่องหยก และยกมันขึ้นมา
พริบตานั้น มุกสีเงินก็เริ่มหมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเขาช้าๆ แสงสีเงินสลัวค่อยๆ สว่างขึ้นมา ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็ม้วนตัวออกและลอยขึ้นไปด้านบน
พอผู้ฝึกฝนอิสระที่แอบมองอยู่ด้านล่าง ได้สัมผัสถึงกลิ่นไออันน่ากลัวนี้ ต่างก็พากันหลบห่างออกไปด้วยความตกใจ
เมื่อแสงสีเงินขยายขนาดใหญ่เท่าปากถ้วย โจวเทียนเหอก็สะบัดข้อมือ จากนั้นมุกก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินก่อนพุ่งยิงไปยังม่านแสงสีฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วหมิง ชายฉกรรจ์แซ่เหลย หรืออาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็เบิกตากว้างโดยไม่ตั้งใจ และเขม้นมองออกไป
เมื่อลูกแสงสีเงินเคลื่อนไหวสองสามที และใกล้จะชนม่านแสงสีฟ้านั้น ม่านแสงตรงหน้าก็พลันสั่นไหวขึ้น เงาร่างราวกับเส้นสีดำบิดตัวออกมา เขาเพียงแค่ขยับแขน ฝ่าสีมือสีแดงขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ก็คว้าเอาลูกแสงสีเงินไว้
“ตู๊ม!”
ลำแสงสีเงินระเบิดตัวท่ามกลางฝ่ามือยักษ์สีแดง จุดแสงสีเงินม้วนตัวกระจายไปทั่วทิศ ไม่เพียงแต่เรือกระดูกกับรถเหาะที่ถูกพัดจนโซซัดโซเซ แม้แต่ม่านแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด จนดูเหมือนจะแตกสลายไปได้ตลอดเวลา
“ผู้ใดกัน!”
ได้เห็นฉากเช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจจนต้องทำท่าเตรียมรับมือไว้ ส่วนทางด้านโจวเทียนเหอและอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนต่างก็ชักกระบี่ยาวด้านหลังออกมา
“ฮึ! กะอี่แค่มนุษย์ชั้นต่ำไม่กี่คน แต่กล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าข้า ช่างไม่กลัวตายหรือไง!”
เมื่อผ่ามือยักษ์สีแดงสลายไปแล้ว เงาร่างคนผู้นั้นก็บิดตัวกลายเป็นชายวัยกลางคนรูปผอมแห้ง ขนคิ้วสีเหลืองซีด
ชายผู้นี้สวมเกราะหนังสีฟ้า มือทั้งสองสวมใส่ถุงมือสีดำ แต่ระหว่างคิ้วมีผลึกหินสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเลี่ยมฝังอยู่ เขากำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“เผ่าเจ้าสมุทรระดับผลึก!”
พอหลินไฉอวี่เห็นผลึกสีแดงระหว่างคิ้วของชายร่างผอมแห้งอย่างชัดเจน ก็หลุดปากพูดออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอสีดำพวยพุ่งออกจากพื้นผิวของเรือกระดูก ม่านแสงสีดำปรากฏออกมา เรือกระดูกทั้งลำถูกปกคลุมไว้ในนั้น
อีกด้านหนึ่ง พอโจวเทียนเหอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็สูดหายใจด้วยความเยือกเย็น และพลันอ้าปากพ่นกระบี่เล็กสีเขียวอ่อนแวววาวออก มันหมุนวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายจั้ง และดูดหูชุนเหนียงกับหญิงทั้งสองคนเข้าไปในนั้นก่อนที่จะพุ่งออกไปไกลๆ ด้วยเสียงอันดัง
“วิชาขี่กระบี่! มนุษย์ชั้นต่ำ เจ้าคิดว่าความสามารถแค่นี้ จะสามารถหลบพ้นฝ่ามือข้าไปได้หรือ?” ชายที่เพิ่งปรากฏตัว แสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา หลังจากขยับแขน นิ้วทั้งห้าก็แยกออกจากกัน และคว้าออกไปด้านหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา