ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 221

สรุปบท ตอนที่ 221: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 221 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 221 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 221 ต่อสู้กับไห่เจีย (1)
ตอนที่ 221 ต่อสู้กับไห่เจีย (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อหลิ่วหมิงเผชิญกับการโจมตีอันเฉียบคมเช่นนี้ เขาก็รีบตบถุงหนังบนเอวทันที ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนตัวพวยพุ่งไปยังทิศทางที่แสงสีเงินพุ่งยิงเข้ามา ขณะเดียวกันกระบี่จันทราหยกในมือก็หมุนติ้วๆ แล้วฟันเงากระบี่ไปทางชายฉกรรจ์ร่างยักษ์

หลังจากมีเสียงระเบิดดังออกมา ร่างของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ก็โซซัดโซเซ และถูกเงากระบี่ที่ตัดสลับกันจู่โจมจนต้องกระเด็นกลับไป

ขณะเดียวกัน มัจฉาประหลาดสีเงินก็ปะทะเข้ากับแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนออกมาจากไอดำพอดี จากนั้นทั้งสองก็ตกลงบนพื้น และต่อสู้กันอย่างอุตลุด

แมงป่องกระดูกขาวยกก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีมัจฉาประหลาดสีเงินอย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่ามัจฉาประหลาดจะไม่มีขา แต่ลำตัวส่วนหน้าของมันแหลมคมราวกับคมมีด มันสะบัดหัวไปมาอย่างบ้าคลั่งจนต้านทานการโจมตีกว่าครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวไว้ได้ มีบางครั้งที่มันถูกโจมตี แต่ก็แค่แฉลบผ่านเกล็ดสีเงินของมันไป

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มัจฉาประหลาดก็ต้านทานได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น!

เมื่อหางตะขอตรงหลังแมงป่องกระดูกขาวกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นและเข้าไปร่วมโจมตี ทำให้มัจฉาประหลาดหลบหลีกไม่ทัน จนเกิดรูบนลำตัวเป็นจำนวนมาก และโลหิตสีดำก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ภายใต้สถานการณ์ที่มัจฉาประหลาดถูกพิษรุนแรงเช่นนี้ มันก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแต่กระพือปีกทั้งสองเพื่อหลบหลีกอย่างบ้าคลั่ง

แต่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลับไม่สนใจอันตรายที่มัจฉาประหลาดเผชิญอยู่

เพราะว่าในตอนนี้ มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงฟาดพันเงากระบี่สีเขียวออกไปติดต่อกัน ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยคมวายุออกไปราวกับไม่ต้องใช้พลังเวทย์

ตอนแรกๆ คมวายุแต่ละเส้นก็กระเด็นออก แต่พอผ่านไปไม่นาน มันก็พุ่งยิงออกไปพร้อมกันสองถึงสี่เส้น

แม้ว่าก้ามยักษ์สีทองทั้งสองของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จะร้ายกาจ จนแม้แต่ปราณกระบี่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่เมื่อถูกโจมตีอย่างถี่ยิบเช่นนี้ ก็ได้แต่โบกสะบัดก้ามยักษ์ไปยังด้านหน้าจนก่อเกิดเป็นแสงสีทอง ถึงพอจะรับมือไว้ได้อย่างยากเย็น แต่ก็ยังถูกคมวายุจำนวนมากเฉือนผ่านไหล่จนเกิดเป็นแผลลึกๆ จำนวนมาก จากนั้นโลหิตสีเขียวอ่อนก็ทะลักออกมา

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาย่อมไม่ยอมถูกโจมตีโดยไม่เอาคืนอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหางมัจฉายักษ์ออกไป จนเกิดเป็นจุดแสงสีฟ้ามารวมตัวกัน ครู่เดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลพวยพุ่งออกมา แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับน้ำทะเลที่ต่งไทเฮาควบคุมอยู่ แต่มันก็เพียงพอที่จะปกป้องร่างของเขาไว้ได้ทั้งหมด

พอคมวายุพุ่งมายังด้านหน้าเขา พลังของมันก็ถูกน้ำทะเลลดทอนไปมาก พลังที่เหลือก็ถูกแผ่นเกล็ดสีเขียวต้านทานไว้ได้ ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ เท่านั้น

แต่ขณะนั้นเอง คมวายุกับเงากระบี่ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็หายไป แทนที่ด้วยลูกเปลวไฟลูกหนึ่ง แรกๆ มันก็มีขนาดแค่ปากถ้วย แต่พอมันหมุนติ้วๆ ก็ขยายใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า

“ไป!”

หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา พอสะบัดมือทั้งสอง ลูกเปลวไปยักษ์ก็พุ่งออกไปท่ามกลางเสียงดังสนั่น

จวี้เจิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยงรับมือกับการโจมตีระดับนี้ จึงขยับตัวเพื่อที่จะหลบไปยังด้านข้าง

แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง และร่างของเขาก็พุ่งยิงไปฝั่งตรงข้ามราวกับลูกธนู

พอชายฉกรรจ์หลบลูกเปลวไฟนี้ได้อย่างหวุดหวิด ก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวตรงหน้า ซึ่งหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองจั้งกว่าๆ และยกกระบอกเหล็กสีแดงจ่อเล็งหน้าเขาไว้

“แย่แล้ว!”

ชายฉกรรจ์แอบร้องออกมา คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว

พอได้ยินเสียงดัง “พลั่ก!” ตาข่ายไหมแวววาวก็ถูกพ่นออกจากในนั้น และปกคลุมตัวเขาไว้ได้พอดี

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เพียงแค่รู้สึกเย็นสะท้าน ชั่วพริบตาที่ตาข่ายแวววาวโดนตัวเขานั้น น้ำทะเลที่ปกป้องเขาอยู่ก็เริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง

แต่เขาก็คำรามเสียงออกมาในทันที ก้ามสีทองทั้งสองฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นน้ำแข็งบนตัวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลกลับมีสีหน้าประหลาดใจ และขยับตัวถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียงในทันที

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์รู้สึกตกตะลึง ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ก็พลันรับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุที่ม้วนตัวมาทางด้านหลัง จากนั้นแสงเปลวไฟก็สว่างขึ้นบนตัวเขา ลูกเปลวไฟยักษ์ที่เดิมทีเขาหลบมันพ้นแล้ว ได้หมุนตัวพุ่งยิงกลับมา และปะทะเข้าใส่ร่างเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เปล่งเสียงออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็จมเข้าไปในเปลวไฟอันคุโชน ร่างของเขาได้แต่ดิ้นเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวไฟรูปดอกเห็ด

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เป็นเพราะมัจฉาประหลาดสีเงินตัวนั้นมีจิตเชื่อมกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ เมื่อนายของมันตายไป ร่างของมันก็สั่นสะท้าน และถูกแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนลงพื้นอีกครั้ง ใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองกดทับไว้ แมงป่องกระดูกขยับหางตะขอตรงหลังจนเกิดเป็นเส้นดำๆ จำนวนมาก ขณะเดียวมันก็ทนพิษไม่ไหวจนระเบิดตัวออกมา

มัจฉาปีศาจน่าสงสารตัวนี้ เดิมทีนับว่าเป็นอสูรสมุทรที่หาได้ยาก ตอนนี้ลำตัวของมันถูกเจาะทะลุจนเป็นรูมากมาย ลำตัวสีเงินกลายเป็นสีดำ และละลายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สามารถจัดการศัตรูตัวฉกาจอย่างชายร่างยักษ์นี้ได้

ไห่เจียที่กลายร่างมาจากต่งไทเฮากลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นไอเย็นใส่ร่างเฝิงหลง เพื่อทำศพให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง

นางค่อยๆ โบกสะบัดอาวุธในมือจนก้อนน้ำแข็งแตกกระจายออกมา

หญิงเผ่าเจ้าสมุทรที่กลายร่างเป็นไห่เจียมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงที่สุด ประจักษ์ชัดว่านางรับรู้ได้ว่าหลิ่วหมิงไม่ธรรมดา นางมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง ตู้ไห่ยังคงโจมตีหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในม่านแสงอยู่ไม่หยุด

แต่ตอนนี้ม่านแสงหดเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นเกือบครึ่งหนึ่ง สีหน้าของหญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่สงบเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว หยาดเหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะ ขณะเดียวกันไอร้อนระอุก็พุ่งออกจากแผ่นหลังอย่างไม่ขาดสาย

ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการโจมตีของตู้ไห่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจางซิ่วเหนียงที่ใช้วิชาขี่กระบี่โจมตีค่ายกลอักขระโลหิตอยู่หลายครั้ง

แม้นางจะปล่อยพลังเวทย์ใส่ค่ายกลอักขระโลหิตอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังคงไม่สามารถซ่อมแซมรอยร้าวบนม่านแสงสีเลือดได้ทัน

ม่านแสงสีเลือดในตอนนี้ มีรอยร้าวสิบกว่าแห่ง และรอยร้าวก็ลึกและกว้างขึ้นกว่าเดิม

ชายร่างผอมแห้งที่เดิมทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กลางอากาศ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา สายตาเขาจ้องมองร่างของหลิ่วหมิงกับต่งไทเฮาอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่ากำลังประเมินความสามารถของทั้งคู่อยู่

เย่เทียนเหมยกลับยืนอยู่บนรถเหาะทองเหลืองด้วยสีหน้าดังเดิม

ไม่ว่าเฝิงหลงจะถูกต่งไทเฮาใช้ตรีศูลแทงทะลุร่าง หรือว่าหลิ่วหมิงควบคุมลูกเปลวไฟยักษ์โจมตีจนชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลายเป็นขี้เถ้า ก็ไม่อาจทำให้สีหน้านางเปลี่ยนไปได้เลยแม้แต่น้อย

แต่โจวเทียนเหอ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าประหลาดใจกับเหตุการณ์ด้านล่างเป็นอย่างมาก

“พี่เหลย ศิษย์ผู้นี้เป็นใครกัน? คิดไม่ถึงว่าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ควบคุมวิชาได้แล้ว พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าคงอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดาศิษย์จิตวิญญาณในนิกายทั้งห้า” ในที่สุดโจวเทียนเหอก็หันมาถามกับชายฉกรรจ์แซ่เหลยอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์แกนนำอับดับต้นๆ คนใหม่ของนิกายปีศาจ และยังได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับนิกายในตอนที่อยู่แดนลึกลับ ดังนั้นเขาจึงมีพลังไม่ธรรมดา ส่วนชื่อของเขานั้น สหายไม่ต้องถามข้า เพียงแค่กลับไปสืบเล็กน้อยก็จะรู้เอง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ

“ที่แท้ศิษย์นิกายท่านผู้นี้ก็ค่อนข้างมีภูมิหลัง แต่ศิษย์แกนนำระดับนี้ ทำไมไม่ฝึกฝนอยู่ในนิกายเพื่อเตรียมทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับมารับตำแหน่งศิษย์ตรวจตราที่เสวียนจิงเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” โจวเทียนได้ยินเช่นนี้ก็พลันยิ้มออกมา

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา