ต่งไทเฮาแหงนหน้ามาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่ก็รู้ว่าหากไม่ดิ้นรนในตอนนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะต้องตายจริงๆ แล้ว
ดังนั้นนางจึงกระแทกหางมัจฉาใส่น้ำทะเลและพุ่งออกไป ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นควันสีแดงคล้ายโลหิตออกมา มันดูเหมือนจะเป็นแค่ชั้นบางๆ แต่พอมันลอยออกจากปากก็มีขนาดใหญ่หลายจั้ง คิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้แสงกระบี่ด้านล่างค่อยๆ หยุดชะงักลง และไม่ได้ตกลงไปในทันที
ต่งไทเฮาอาศัยโอกาสนี้ กระโดดติดต่อกันสองที ก็สามารถกระโดดออกจากรัศมีที่ปกคลุมของแสงกระบี่ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สูดหายใจลึกๆ เข้าไป และกะจะใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นเข็มเงาหยก มันจะได้หลุดออกมาโจมตีต่งไทเฮาจนถึงแก่ชีวิต
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียง “ตู๊ม!” ดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล
ม่านแสงทางด้านค่ายกลอักขระโลหิต ถูกแสงกระบี่หิมะขาวโจมตีจนแตกกระจายในพริบตา
จากนั้นแสงกระบี่ก็หมุนวนหนึ่งรอบ ก่อนพุ่งออกไปในแนวขวางไกลสิบกว่าจั้งราวกับสายรุ้งอันน่าสะพรึง และทะลุผ่านหลังของต่งไทเฮาก่อนที่จะพันร่างขนาดมหึมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฟันร่างของนางออกเป็นสองส่วน
แสงกระบี่หิมะขาวไม่ได้รามือแค่นี้ แต่กลับส่งเสียงกังวานออกมา และกลายเป็นแสงกระบี่จำนวนมากปกคลุมร่างทุกส่วนไว้ พริบตาเดียวร่างของต่งไทเฮาก็กลายเป็นฝนโลหิตกับเนื้อบด
และเมื่อแสงกระบี่หิมะขาวเคลื่อนไหวและดับไป เผยให้เห็นหญิงสาวใบหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ที่นั่น นางก็คือจางซิ่วเหนียงศิษย์นิกายจันทราสวรรค์นั่นเอง
พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แต่หลังจากกะพริบตาแล้ว ก็โบกมือข้างหนึ่งไปยังศพของต่งไทเฮา
“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวหยกดีดตัวออกมาจากเนื้อบดเหล่านั้น และพุ่งเข้าแขนเสื้อหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
จางซิ่วเหนียงจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเฉยชา แล้วยกมือไปอีกด้านหนึ่งก่อนที่แสงกระบี่หิมะขาวจะม้วนตัวออกมา มันฟันร่างระโหยโรยแรงของข้ารับใช้หญิงที่กักขังนางจนต้องกระอักเลือดหลายครั้งออกเป็นสองส่วน
ส่วนม่านแสงที่ปกคลุมอย่างเบาบาง ก็ถูกแสงกระบี่เจาะทะลุในพริบตาโดยไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
เดิมทีตู้ไห่ดีใจที่เห็นข้ารับใช้หญิงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้ และพอเห็นว่าเป็นการลงมือของจางซิ่วเหนียง เขาก็ได้แต่เอามือลูบจมูกแล้วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ด้วยเหตุนี้ นอกจากเสวียนจื้อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว เผ่าเจ้าสมุทรที่ต่อสู้ทั้งหมดก็ถูกสังหารจนหมดเกลี้ยง
การะประลองในครั้งนี้นับว่าปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์
ชายร่างผอมแห้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือหยกมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงที่สุด แต่หลังจากตาเป็นประกาย เขาก็ดีดนิ้วลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
“ฟิ้ว!”
เสวียนจื้อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ร้องออกมาอย่างเวทนา วายุไร้รูปเจาะทะลุศีรษะเขาไป ขณะเดียวกันก็มีเปลวเพลิงลุกไหม้จนศพของเขากลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา
“สหายหง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เย่เทียนเหมยที่เดิมทีเผยรอยยิ้มออกมาหลังจากเห็นศิษย์ทั้งสองนิกายเอาชนะได้ แต่พอได้เห็นฉากนี้ กลิ่นไอบนตัวก็เย็นยะเยือกจนเสียดกระดูกในทันที
“ไม่มีอะไร ในเมื่อเจ้าเด็กนี่มีเชื้อพระวงศ์ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าอื่นได้ ตอนแรกพวกเราก็ได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาต้องชนะเท่านั้นถึงจะพาพวกเขาไปได้ แต่ในเมื่อตอนนี้แพ้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ ที่ข้าทำเช่นนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว” ชายร่างผอมแห้งหัวเราะก่อนกล่าวออกมา แต่สายตามองไปยังสถานที่ที่เสวียนจื้อเสียชีวิตด้วยความเสียดาย
แม้เสวียนจื้อจะเป็นแค่โลหิตผสม แต่เชื้อพระวงศ์ในเผ่าเจ้าสมุทรเกิดได้ยากนัก เมื่อต้องลงมือฆ่าด้วยตนเองเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก!
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาเป็นสายโลหิตบริสุทธิ์ของเชื้อพระวงศ์ล่ะก็ เขาคงไม่กกล้าถือวิสาสะสังหารเช่นนี้
เมื่อชายร่างผอมแห้งกล่าวจบ ก็กระทืบเท้าลงบนเรือหยก จากนั้นก็กลับหัวเรือพาธิดาเทพและคนอื่นๆ จากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
เย่เทียนเหมยจ้องมองเรือเหาะที่จากไปด้วยสีหน้าเช่นเดิม หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขวางแต่อย่างใด
“อาจารย์อาเย่ ให้ศิษย์ไปดูในวังหน่อยไหม ดูว่ายังมีเผ่าเจ้าสมุทรรอดชีวิตอยู่หรือไม่?” โจงเทียนเหอก้าวออกไปกล่าว
พอเห็นหงซานจากไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ใครก็คาดเดาได้ว่าเผ่าเจ้าสมุทรในวังต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่ชายนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ยังอดที่จะคาดหวังไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา