“แม้ข้าจะรู้ว่าช่วงนี้ศิษย์หลานเข้าไปในบ่อจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะควบแน่นปราณแกร่งได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกตกใจระคนดีใจด้วยเช่นกัน!” กุยหรูฉวนรีบกล่าวออกมา
ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต่างก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน
กุยหรูฉวนก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ขณะนี้ หลินไฉอวี่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้นางถึงเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านั้นชายฉกรรจ์แซ่เหลยถึงได้มองเห็นความสำคัญของหลิ่วหมิง และถ้าในปีนั้นนางยืนหยัดอีกสักเล็กน้อย ไม่เท่ากับว่าสาขาระบำปีศาจในตอนนี้มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือ?
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่านางจะกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
ส่วนฉู่ฉีผู้นำสาขาหยินทนทรมาณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุยหรูฉวนมาโดยตลอด แม้ว่าภายนอกจะไม่แสดงอาการแปลกใจออกมา แต่คิดว่าในใจคงรู้สึกกลัดกลุ้มไม่น้อย
“เอาล่ะ! ในเมื่อรู้ว่าเป็นศิษย์คนไหนที่บรรลุระดับของเหลว พวกเราก็วางใจได้แล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเพิ่งจะบรรลุอาจารย์จิตวิญญาณ ยังต้องทำระดับนี้ให้มั่นคงก่อน พวกเราก็ไม่ควรไปรบกวนเขา ให้เขาเก็บตัวต่อไปเถอะ แต่หลังออกจากการเก็บตัวแล้ว ศิษย์น้องถงจะต้องแจ้งข้าในทันที ข้าเป็นถึงประมุขนิกายปีศาจจะต้องพาเขาไปบูชาที่หอบูรพาจารย์สักครั้ง หลังจากเลื่อนลำดับอาวุโสของเขาแล้วค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” ประมุขนิกายปีศาจเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับชายชุดคลุมสีขาว
“แน่นอน! เพียงแค่ศิษย์หลานออกจากการเก็บตัว ข้าจะแจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขเป็นคนแรก” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าวอย่างไม่ลังเล
ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
เวลาต่อมา ชายชุดคลุมสีขาวก็พาคนทั้งหมดไปยังหอชั้นสาม ให้พวกเขามองเห็นลำแสงสีน้ำเงินที่หลิ่วหมิงพ่นออกมาในบ้านหิน จากนั้นถึงกล่าวลาและจากไปโดยไม่สงสัยอะไรอีก
พอกุยหรูฉวนขี่เมฆกลับถึงที่พักตนเอง ก็รีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วให้ศิษย์ในนิกายส่งออกไปข้างนอกในคืนนั้นเลย
ขณะเดียวกัน หลังจากประมุขนิกายปีศาจไปจากหุบเขาแล้ว ก็ตรงไปยังเขตต้องห้ามที่อยู่หลังยอดเขาหลักทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงเดินออกจากพื้นที่ต้องห้ามด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเหาะตรงไปยังยอดเขาของสาขาพลังโลหิตทันที
ผ่านไปไม่นาน ข่าวเรื่องที่มีอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่นามว่า ‘หลิ่วหมิง’ ก็แพร่กระจายไปทั่วนิกายปีศาจอย่างรวดเร็ว
แต่คนที่รู้จริงๆ ว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อนนั้น มีอยู่น้อยมาก
เพราะเรื่องที่นักพรตแซ่จงฟื้นคืนสถานะที่แท้จริงของหลิ่วหมิง เป็นการแจ้งทางนิกายอย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยให้รู้กันทั่วทั้งนิกาย
แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ภายใต้สถานการณ์ที่กุยหรูฉวนก็ไม่ได้ปิดบังว่า อาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ที่มีนามว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือคนเดียวกันกับ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อน เรื่องนี้จึงกระฉ่อนขึ้นมา
สำหรับผู้ที่เคยเห็นหรือรู้จักหลิ่วหมิง ต่างก็ฮือฮาขึ้นมา
……
“อะไรนะ! หลิ่วหมิงคือไป๋ชงเทียนในตอนนั้น” ป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิกายปีศาจ ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชากล่าวกับหญิงใบหน้างดงามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ผิด! ข้าได้รับการยืนยันจากปากศิษย์สาขาเก้าทารกคนหนึ่งที่ข้าสนิทด้วย ผู้ที่เพิ่งควบแน่นปราณแกร่งสำเร็จนี้ เป็นศิษย์น้องไป๋ชงเทียนในปีก่อนอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่า ‘หลิ่วหมิง’ จะเป็นชื่อที่แท้จริงของเขา ไป๋ชงเทียนเป็นแค่ชื่อที่เขาสวมรอยเข้ามาเท่านั้น” หญิงใบหน้างดงามถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
ทั้งสองคนนี้ก็คือตู้ไห่กับมู่อวิ๋นเซียนนั่นเอง
“ศิษย์น้องไป๋ ไม่สิ! ต้องพูดว่าศิษย์น้องหลิ่ว ในปีนั้นเขามีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ คุณสมบัติเช่นนี้ยังสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ” สีหน้าตู้ไห่เปลี่ยนไปมาในทันที
“ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ดูท่าพวกเราจะดูเบาศิษย์น้องหลิ่วไปหน่อย แต่ถ้าพี่ชายข้ารู้เรื่องนี้เข้า คงรู้เสียดายอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นเซียนถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“แน่นอน ถ้าตระกูลมู่ของพวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าหลิ่วหมิงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ต่อให้ตระกูลไป๋จะยื่นข้อเสนอมากแค่ไหน ก็คงไม่ยอมยกเลิกงานแต่งนี้” ตู้ไห่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“เรื่องของหมิงจู ข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว และไม่อยากยุ่งอะไรมาก แต่ถ้าพวกเราได้เจอกับศิษย์น้องหลิ่วอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องเรียก ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ แล้ว” มู่อวิ๋นเซียนหัวเราะอย่างขมขื่น ในหัวโผล่ภาพเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ที่เข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณในปีนั้น แล้วนางก็ตกอยู่ในภวังค์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา