เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบหยุดทำท่าทางที่ทำอยู่แล้วมองไปยังด้านหน้า
กระจกทองเหลืองที่แขวนอยู่บนผนังอย่างเงียบๆ ค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา
ภาพในกระจกทองเหลือง คือภาพที่ประตูบ้านหินขนาดใหญ่ค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวเดินออกจากในนั้นด้วยสีหน้าสงบ เขาคือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ชายชุดคลุมสีขาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ลูบไปมาไม่กี่ที ก็เดินลงบันไดไป
……
หลิ่วหมิงสังเกตดูทิวทัศน์นอกบ้านหิน ทุกอย่างเหมือนกับตอนมาไม่มีผิด
อย่างเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนที่เข้ามายังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณที่ไม่เตะตาคนหนึ่ง แต่ตอนออกมากลับเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า พอเขากำมือทั้งสองเล็กน้อย แสงสีน้ำเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมา ในนั้นมีผลึกแสงแพรวพราวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
นี่คือปราณแกร่งที่เขาควบแน่นมาอย่างยากลำบาก พลังการป้องกันแข็งแกร่งจนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดของศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปโดยที่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย
เพื่อการควบแน่นปราณแกร่งในครั้งนี้ เขาใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินไปจนหมด และควบแน่นติดต่อกันสามครั้งถึงสำเร็จ
ในตอนนั้นเขากลัวจนเกือบขี้ขึ้นสมอง และแอบภาวนาให้มันโชคดีอยู่ไม่หยุด
ถ้าตอนแรกเขาได้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มาน้อยกว่านี้ล่ะก็ เกรงว่าการทะลวงระดับของเหลวในครั้งนี้คงจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปยังพื้นบริเวณนั้น
“ฟู่!”
จุดแสงสีน้ำเงินพุ่งยิงออกไป ทิ้งรูลึกๆ ไว้บนพื้นรูหนึ่ง ไอเย็นสะท้านแปลกประหลาดพุ่งออกมา พริบตาเดียวรูเล็กๆ ก็ถูกน้ำแข็งปกปิดไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านการป้องกันหรือโจมตีของปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดล้วนทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่ไปเอามาจากเขาหมื่นทมิฬด้วยความยากลำบาก
แต่ขณะนั้นเอง หากมีคนใช้พลังจิตกวาดดูภายร่างของหลิ่วหมิงล่ะก็ จะเห็นว่าพลังต้นกำเนิดตรงจุดตันเถียนกลายเป็นของเหลวสีเงินจางๆ และปล่อยพลังเวทย์อันน่าตกใจออกมา
นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้ฝึกฝนที่เข้าสู่ระดับของเหลวที่เรียกว่า “พลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลว” ด้วยเหตุนี้ร่างของเขาจึงจุรับพลังเวทย์ได้มากกว่าศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบเท่า
แน่นอนว่าพริบตาที่เขาเข้าสู่ระดับของเหลว พลังจิตของเขาก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
อย่างที่รู้ว่า แต่ก่อนพลังจิตของหลิ่วหมิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปเลย ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่า เกรงว่าอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็ไม่อาจเทียบกับเขาได้
นี่เป็นเรื่องโชคดีที่พอหลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว ก็ฝึกฝนอยู่ในบ่อจิตวิญญาณครึ่งปี มิเช่นนั้นไม่ว่าพลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลวหรือว่าความแข็งแกร่งของพลังจิต อาจทำให้เขตแดนของเขาไม่มั่นคง และเกิดภัยแฝงได้โดยง่าย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้ในใจ และค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่เข้ามาในตอนแรก
พอเดินเข้าใกล้บริเวณค่ายกลที่ส่งตัวมา ชายชุดคลุมสีขาวก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ ยินดีกับศิษย์หลานหลิ่วที่เข้าสู่ระดับของเหลว กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกเหมือนกับพวกเรา ข้าได้แจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขแล้ว อีกสักครู่เขาคงมาพาศิษย์หลานไปไหว้ที่หอบูรพาจารย์ จากนั้นก็สามารถเรียกข้าว่า “ศิษย์พี่” ได้อย่างเป็นทางการแล้ว จุ๊ๆ! ศิษย์ น้องอาจจะยังไม่รู้ ครั้งนี้เจ้าเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ไม่รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงมากมายเท่าไหร่”
“ที่ศิษย์กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ถ้าต้องทะลวงอีกครั้งล่ะก็ คงต้องล้มเหลวแปดถึงเก้าส่วน” หลิ่วหมิงคารวะแล้วกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! ในเมื่อศิษย์น้องเลือกที่จะฝืนชะตาฟ้า โชคส่วนหนึ่งก็มาจากพลังด้วย” ชายชุดคลุมสีขาวหัวเราะฮาๆ ก่อนกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
เวลาต่อมา เขาเดินตามชายชุดคลุมสีขาวเข้าไปในค่ายกลเพื่อออกจากเขตแดนบ่อจิตวิญญาณ จากนั้นก็กลับมายังหอชั้นหนึ่งตรงปากทางเข้าหุบเขาอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความวิงเวียนออกไป เงาร่างคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งก็คือประมุขนิกายปีศาจนั่นเอง!
…….
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลังจากหลิ่วหมิงไปจากหอบูรพาจารย์ตรงยอดเขาหลักแล้ว ก็กลับไปเขาเก้าทารกทันที
ครึ่งวันผ่านไป เขากับกุยหรูฉวนก็หาถ้ำที่พักในเขาเก้าทารก จากนั้นเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น
วันที่สอง หลิ่วหมิงได้ต้อนรับอาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ที่มากล่าวยินดีภายในถ้ำที่พัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา