ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 248

สรุปบท ตอนที่ 248: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 248 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 248 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 248 ค้อนกลืนวิญญาณกับโครงกระดูก
ตอนที่ 248 ค้อนกลืนวิญญาณกับโครงกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าของล้ำค่าที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวถึงเกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไร ทำไมถึงต้องให้เขามาด้วยตนเอง

เห็นได้ชัดว่าประมุขนิกายปีศาจมองออกว่าหลิ่วหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงรีบกล่าวออกไปด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง

“ที่สมบัติล้ำค่าหลายอย่างของนิกายเราถูกปิดผนึก เป็นเพราะว่าพวกมันมีอานุภาพมากเกินไป ที่ไม่อยากบุ่มบ่ามเพราะป้องกันไม่ให้นิกายอื่นหวาดกลัว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ต่างก็มีข้อจำกัดในการใช้ ถ้าไม่สูญเสียพลังเวทย์เป็นจำนวนมาก ก็อาจเกิดผลกระทบในภายหลัง สมบัติบางชนิดต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่างถึงจะควบคุมมันได้”

“ที่ท่านพูดถึงเคล็ดวิชากระดูกดำในก่อนหน้านี้ หรือว่ามีสมบัติล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้วิชานี้ควบคุมมัน” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ได้ในฉับพลัน

“ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนฉลาดมาก แต่ที่ข้าถูกใจกลับไม่ใช่เคล็ดวิชากระดูกดำ แต่เป็นผลของเคล็ดวิชากระดูกดำที่ดูคล้ายเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกมากกว่า สมบัติล้ำค่าที่ปิดผนึกอยู่ในแดนต้องห้าม มีสองชิ้นที่ต้องใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกถึงสามารถควบคุมมันได้ หลายร้อยปีแล้วที่นิกายเราไม่มีคนฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ตอนนี้ศิษย์น้องสำเร็จเคล็ดวิชากระดูกดำที่คล้ายกับเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกแล้ว จะได้ช่วยศิษย์พี่คลี่คลายงานยากนี้” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมาอย่างละเอียด

“ในเมื่อศิษย์พี่เข้าใจเคล็ดวิชากระดูกดำเป็นอย่างดี คงจะรู้ว่าผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ไม่ได้มีแค่ข้า” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา

“ข้าย่อมรู้ว่ากู่เจวี๋ยก็ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำด้วยเช่นกัน แต่การฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณของเขาไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้ ถ้าฝืนกระตุ้นมันล่ะก็ จะถูกสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ดูดจนตัวแห้งภายในพริบตา” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าข้าคงเป็นตัวเลือกเดียวที่สามารถใช้สมบัติล้ำค่านี้ แต่ข้าอยากถามสักประโยค ศิษย์พี่แน่ใจหรือว่าเคล็ดวิชากระดูกดำใช้ได้ผลกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น? ข้าคงเป็นคนแรกในนิกายที่อาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำในการเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณสินะ!” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา

“อืม! ศิษย์น้องกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิด ไม่เคยมีคนใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกระตุ้นสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมาก่อน แต่ตามการวินิจฉัยของข้า คิดว่าแปดถึงเก้าส่วนคงไม่มีปัญหาใดๆ และถ้าศิษย์น้องไปทดสอบดูที่ดินแดนต้องห้ามก็จะทราบผลลัพธ์เอง นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกศิษย์น้องมาที่นี่ ถ้าศิษย์น้องไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้จริงๆ ข้าคงต้องไปหาวิธีการอื่นแล้ว และมันก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่นิกายเราใช้รับมือกับศัตรูตัวฉกาจ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ข้าจะทำให้สมบัติล้ำค่าเหล่านี้แสดงอานุภาพที่ควรมีของมันออกมาให้ได้” ประมุขนิกายปีศาจยอมรับตรงๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวพันถึงความเป็นอยู่ของนิกาย ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จล่ะก็ ศิษย์พี่ท่านประมุขก็อย่าได้ท้อใจไปเลย” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ย่อมรู้ว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว ดังนั้นจึงได้ตอบรับอย่างเด็ดขาด

“ดีมาก! ข้ารู้ว่าศิษย์น้องจะต้องตอบตกลงแน่นอน อย่าช้าอยู่เลย ศิษย์น้องไปแดนต้องห้ามกับข้าเถิด!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ

หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด

ดังนั้นพอทั้งสองออกจากหอใหญ่แล้ว ก็ขี่เมฆมุ่งไปยังยอดเขาในทันที

ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหุบเขาที่อาจารย์ปู่เยี่ยนเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่แมวดาวหิมะขาวที่หลิ่วหมิงเคยเห็นก็ม้วนตัวนอนขดอยู่ที่นั่น

ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้สนใจแมวดาว เพียงแค่ควักกระดิ่งสีทองอ่อนๆ ออกจากแขนเสื้อแล้วสั่นไปทางหุบเขาเบาๆ

“ฟู่!” คลื่นกระเพื่อมออกจากกระดิ่งสีทองแล้วม้วนตัวไปยังหุบเขา

แมวดาวที่กำลังนอนหลับอยู่กระดิกหูทั้งสองและลุกขึ้นมาในทันที แต่ยังคงหดหัวอยู่โดยไม่คิดจะแหงนหน้าขึ้นมาเลย

แต่สายตาหลิ่วหมิงที่มองแมวดาวหิมะขาวตนนี้ กลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ตอนที่เขามาที่นี่ในครั้งก่อน ยังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ตอนนั้นรู้สึกว่ากลิ่นไอของแมวดาวตัวนี้น่ากลัวมาก จนไม่อาจสังเกตดูพลังที่แท้จริงของมันได้

แต่ตอนนี้เขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังจิตแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า พอตรวจสอบดูแมวดาวตนนั้นเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบนตัวมัน ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างไปจากอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นโดยทั่วไปเลย

เจ้าแมวดาวตนนี้เป็นอสูรระดับของเหลวเช่นกัน

ในขณะที่หลิ่วหมิงแอบสังเกตแมวดาวอยู่ไม่หยุดนั้น เงาร่างผอมบางก็เดินออกจากหุบเขา ซึ่งก็คือเด็กชายที่ดูแลหุบเขาในตอนนั้น

รูปร่างหน้าตาการแต่งตัวของเด็กคนนี้เหมือนกันกับเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีผิด ราวกับว่ากาลเวลาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลย

“ข้าก็ว่าใคร ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาท่านประมุขนั่นเอง หรือว่าอาจารย์อาจะมาดูสิ่งของเหล่านั้น!” พอเด็กชายชุดเหลืองเห็นประมุขนิกายปีศาจ ก็หัวเราะฮิๆ ออกมา และมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาประหลาดใจ ราวกับว่าจำหลิ่วหมิงไม่ได้เลย

“ศิษย์หลาน ข้าจะแนะนำสักหน่อย นี่คือศิษย์น้องหลิ่วที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ครั้งนี้ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้ม และดูใจดีกับเด็กชายมาก

“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาหลิ่ว แม้ว่าตอนนี้อาจารย์ปู่จะไม่อยู่ แต่อาจารย์อาท่านประมุขก็สามารถพาคนไปดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นได้ แต่ตามคำสั่งที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้ก่อนไป จะต้องมีคำสั่งที่เขียนด้วยลายมือของท่านเท่านั้น ถึงจะสามารถเอาของเหล่านี้ออกจากหุบเขาได้” เด็กชายพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล

“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ที่ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาในครั้งนี้ ก็เพื่อทดสอบเรื่องราวบางอย่างเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวโดยไม่รู้สึกแปลกใจเลย

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาหลิ่วตามข้ามาเถอะ!” เด็กชายยิ้มออกมาอย่างน่ารัก จากนั้นก็นำทางให้กับทั้งสอง

หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปด้วยตาที่เป็นประกาย

ตรงมุมทั้งสี่ในห้องโถงใหญ่ มีแท่นหินขนาดต่างๆ สิบกว่าแท่นวางอยู่ แต่ละแท่นถูกปกคลุมด้วยม่านแสงหลากสี ข้างในมีสิ่งของวางอยู่หนึ่งชิ้น

ประมุขนิกายปีศาจไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปยังแท่นหินแท่นหนึ่งทันที

พอมาถึงหน้าแท่นหิน หลิ่วหมิงก็จ้องมองจนเห็นสิ่งของในนั้นอย่างชัดเจน มันคือค้อนกระดูกสีขาวที่มีลักษณะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก

มันยาวสามฉื่อกว่าๆ หัวค้อนทำจากหัวกะโหลกสี่หัวรวมเข้าด้วยกัน ด้ามขวานมีเส้นสีทองรัดพันอยู่อย่างหนาแน่น ปลายด้ามมีรอยเว้ากลมๆ ที่เลี่ยมฝังผลึกหินสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ไว้

“สมบัติชิ้นนี้เรียกว่าค้อนกลืนวิญญาณ เป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้อาวุโสระดับผลึกที่มีชื่อเสียงใช้เมื่อหลายร้อยปีก่อน อานุภาพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก คุณสมบัติมันเคยไปถึงอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง เพียงแค่อยู่ห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสท่านนี้ประสบความล้มเหลวในการอาศัยพลังฟ้าดินเพื่อยกระดับของมัน จนไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสียจิตวิญญาณดั้งเดิมของมันไป แต่ยังทำให้คุณสมบัติของมันลดลงไปมาก ตอนนี้สามารถรักษาคุณสมบัติได้แค่ระดับสูงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อานุภาพของค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ถ้ากระตุ้นมันโจมตีศัตรูล่ะก็ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นอย่างศิษย์น้อง ก็สามารถรับมือกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ แต่น่าเสียดายที่สมบัติชิ้นนี้หลอมมาจากกระดูกจิตวิญญาณ ในสมัยก่อนยังถูกผู้อาวุโสท่านนั้นใส่ชั้นจำกัดพิเศษไว้หลายชนิด ถ้าอยากกระตุ้นมันล่ะก็ ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกก่อน” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้คงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์พี่ท่านประมุขอยากให้ข้าใช้มัน” หลิ่วหมิงฟังจบก็จ้องมองค้อนและกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“แม้ว่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้จะมีอานุภาพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ข้ากลับอยากให้ศิษย์น้องควบคุมสมบัติอีกชิ้นที่ต้องใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกเหมือนกันมากกว่า” ประมุขนิกายปีศาจฟังถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา

“สมบัติอีกชิ้น?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้

“ศิษย์น้องตามข้ามาก็จะรู้เอง” ประมุขนิกายปีศาจกลับพาหลิ่วหมิงไปยังแท่นหินอีกแท่นหนึ่ง

“นี่คือ……” พอหลิ่วหมิงมองเห็นสิ่งของบนแท่นหินอย่างชัดเจน ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

ในม่านแสง เป็นโครงกระดูกจิ๋วที่ยาวไม่ถึงฉื่อกว่าๆ กระดูกแต่ละท่อนมีอักขระสีเงินจางๆ ประทับอยู่ แต่รอบตัวปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวเป็นจำนวนมาก และแขนของมันหายไปข้างหนึ่ง

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา