เห็นได้ชัดว่าประมุขนิกายปีศาจมองออกว่าหลิ่วหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงรีบกล่าวออกไปด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“ที่สมบัติล้ำค่าหลายอย่างของนิกายเราถูกปิดผนึก เป็นเพราะว่าพวกมันมีอานุภาพมากเกินไป ที่ไม่อยากบุ่มบ่ามเพราะป้องกันไม่ให้นิกายอื่นหวาดกลัว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ต่างก็มีข้อจำกัดในการใช้ ถ้าไม่สูญเสียพลังเวทย์เป็นจำนวนมาก ก็อาจเกิดผลกระทบในภายหลัง สมบัติบางชนิดต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่างถึงจะควบคุมมันได้”
“ที่ท่านพูดถึงเคล็ดวิชากระดูกดำในก่อนหน้านี้ หรือว่ามีสมบัติล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้วิชานี้ควบคุมมัน” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ได้ในฉับพลัน
“ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนฉลาดมาก แต่ที่ข้าถูกใจกลับไม่ใช่เคล็ดวิชากระดูกดำ แต่เป็นผลของเคล็ดวิชากระดูกดำที่ดูคล้ายเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกมากกว่า สมบัติล้ำค่าที่ปิดผนึกอยู่ในแดนต้องห้าม มีสองชิ้นที่ต้องใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกถึงสามารถควบคุมมันได้ หลายร้อยปีแล้วที่นิกายเราไม่มีคนฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ตอนนี้ศิษย์น้องสำเร็จเคล็ดวิชากระดูกดำที่คล้ายกับเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกแล้ว จะได้ช่วยศิษย์พี่คลี่คลายงานยากนี้” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมาอย่างละเอียด
“ในเมื่อศิษย์พี่เข้าใจเคล็ดวิชากระดูกดำเป็นอย่างดี คงจะรู้ว่าผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ไม่ได้มีแค่ข้า” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ข้าย่อมรู้ว่ากู่เจวี๋ยก็ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำด้วยเช่นกัน แต่การฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณของเขาไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้ ถ้าฝืนกระตุ้นมันล่ะก็ จะถูกสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ดูดจนตัวแห้งภายในพริบตา” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าข้าคงเป็นตัวเลือกเดียวที่สามารถใช้สมบัติล้ำค่านี้ แต่ข้าอยากถามสักประโยค ศิษย์พี่แน่ใจหรือว่าเคล็ดวิชากระดูกดำใช้ได้ผลกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น? ข้าคงเป็นคนแรกในนิกายที่อาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำในการเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณสินะ!” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“อืม! ศิษย์น้องกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิด ไม่เคยมีคนใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกระตุ้นสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมาก่อน แต่ตามการวินิจฉัยของข้า คิดว่าแปดถึงเก้าส่วนคงไม่มีปัญหาใดๆ และถ้าศิษย์น้องไปทดสอบดูที่ดินแดนต้องห้ามก็จะทราบผลลัพธ์เอง นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกศิษย์น้องมาที่นี่ ถ้าศิษย์น้องไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้จริงๆ ข้าคงต้องไปหาวิธีการอื่นแล้ว และมันก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่นิกายเราใช้รับมือกับศัตรูตัวฉกาจ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ข้าจะทำให้สมบัติล้ำค่าเหล่านี้แสดงอานุภาพที่ควรมีของมันออกมาให้ได้” ประมุขนิกายปีศาจยอมรับตรงๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวพันถึงความเป็นอยู่ของนิกาย ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จล่ะก็ ศิษย์พี่ท่านประมุขก็อย่าได้ท้อใจไปเลย” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ย่อมรู้ว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว ดังนั้นจึงได้ตอบรับอย่างเด็ดขาด
“ดีมาก! ข้ารู้ว่าศิษย์น้องจะต้องตอบตกลงแน่นอน อย่าช้าอยู่เลย ศิษย์น้องไปแดนต้องห้ามกับข้าเถิด!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นพอทั้งสองออกจากหอใหญ่แล้ว ก็ขี่เมฆมุ่งไปยังยอดเขาในทันที
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหุบเขาที่อาจารย์ปู่เยี่ยนเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่แมวดาวหิมะขาวที่หลิ่วหมิงเคยเห็นก็ม้วนตัวนอนขดอยู่ที่นั่น
ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้สนใจแมวดาว เพียงแค่ควักกระดิ่งสีทองอ่อนๆ ออกจากแขนเสื้อแล้วสั่นไปทางหุบเขาเบาๆ
“ฟู่!” คลื่นกระเพื่อมออกจากกระดิ่งสีทองแล้วม้วนตัวไปยังหุบเขา
แมวดาวที่กำลังนอนหลับอยู่กระดิกหูทั้งสองและลุกขึ้นมาในทันที แต่ยังคงหดหัวอยู่โดยไม่คิดจะแหงนหน้าขึ้นมาเลย
แต่สายตาหลิ่วหมิงที่มองแมวดาวหิมะขาวตนนี้ กลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่เขามาที่นี่ในครั้งก่อน ยังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ตอนนั้นรู้สึกว่ากลิ่นไอของแมวดาวตัวนี้น่ากลัวมาก จนไม่อาจสังเกตดูพลังที่แท้จริงของมันได้
แต่ตอนนี้เขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังจิตแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า พอตรวจสอบดูแมวดาวตนนั้นเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบนตัวมัน ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างไปจากอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นโดยทั่วไปเลย
เจ้าแมวดาวตนนี้เป็นอสูรระดับของเหลวเช่นกัน
ในขณะที่หลิ่วหมิงแอบสังเกตแมวดาวอยู่ไม่หยุดนั้น เงาร่างผอมบางก็เดินออกจากหุบเขา ซึ่งก็คือเด็กชายที่ดูแลหุบเขาในตอนนั้น
รูปร่างหน้าตาการแต่งตัวของเด็กคนนี้เหมือนกันกับเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีผิด ราวกับว่ากาลเวลาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลย
“ข้าก็ว่าใคร ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาท่านประมุขนั่นเอง หรือว่าอาจารย์อาจะมาดูสิ่งของเหล่านั้น!” พอเด็กชายชุดเหลืองเห็นประมุขนิกายปีศาจ ก็หัวเราะฮิๆ ออกมา และมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาประหลาดใจ ราวกับว่าจำหลิ่วหมิงไม่ได้เลย
“ศิษย์หลาน ข้าจะแนะนำสักหน่อย นี่คือศิษย์น้องหลิ่วที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ครั้งนี้ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้ม และดูใจดีกับเด็กชายมาก
“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาหลิ่ว แม้ว่าตอนนี้อาจารย์ปู่จะไม่อยู่ แต่อาจารย์อาท่านประมุขก็สามารถพาคนไปดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นได้ แต่ตามคำสั่งที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้ก่อนไป จะต้องมีคำสั่งที่เขียนด้วยลายมือของท่านเท่านั้น ถึงจะสามารถเอาของเหล่านี้ออกจากหุบเขาได้” เด็กชายพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ที่ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาในครั้งนี้ ก็เพื่อทดสอบเรื่องราวบางอย่างเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวโดยไม่รู้สึกแปลกใจเลย
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาหลิ่วตามข้ามาเถอะ!” เด็กชายยิ้มออกมาอย่างน่ารัก จากนั้นก็นำทางให้กับทั้งสอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา