“นี่คือ…” พอหลิ่วหมิงเห็นโครงกระดูกนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าจะมีม่านแสงกั้นอยู่ แต่พริบตาที่เห็นโครงกระดูกนี้ ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเข้าสู่เขตแดนของเหลวแล้วล่ะก็ เกรงว่าพริบตาที่เข้าใกล้แท่นหิน คงถูกแรงกดดันบีบให้ถอยไปสองก้าวก็อาจเป็นได้
“ในสมัยก่อน ปรมาจารย์ลิ่วยินเคยมีปีศาจที่เลี้ยงอยู่สองตน และพวกมันช่วยกวาดล้างนิกายในแคว้นต้าเวียนทั้งหมด ซึ่งไม่มีใครต่อกรได้ หนึ่งในปีศาจที่กล่าวถึงคือราชาปีศาจ ซึ่งมันหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากที่ปรมาจารย์เสียชีวิต และอีกตนคือปีศาจมนุษย์กระดูกขาวที่อยู่ในระดับ ‘หมื่นปีศาจ’ ตนนี้ ซึ่งเป็นปีศาจมนุษย์หนึ่งเดียวของนิกายเราที่บ่มเพาะมาถึงเขตแดนนี้” ประมุขนิกายปีศาจมองโครงกระดูกบนแท่นหินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก!” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
อย่างที่รู้ๆ แม้ว่าปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตนนี้ จะเป็นหนึ่งในหุ่นปีศาจที่ศิษย์ในนิกายต่างก็ฝึกฝนกัน แต่ส่วนมากก็เป็นปีศาจมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ยิ่งถ้าบ่มเพาะจนถึงระดับ ‘ร้อยกระดูก’ นั้นมีน้อยมาก ส่วนระดับ ‘พันกระดูก’ นั้น หลิ่วหมิงสงสัยว่าในนิกายจะมีคนบ่มเพาะได้สำเร็จหรือไม่
เพราะการจะบ่มเพาะหุ่นปีศาจระดับสูงเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องสูญเสียเวลาและหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ผู้ฝึกฝนระดับสูงโดยทั่วไปยังเกรงว่าจะหาได้ไม่พอเลย แล้วจะทุ่มเทกับสิ่งของภายนอกมากเช่นนี้ได้อย่างไร
ปีศาจตรงหน้าเขาในตอนนี้ กลับเป็นปีศาจมนุษย์ที่บ่มเพาะจนถึงระดับ ‘หมื่นกระดูก’ แล้วจะไม่ให้หลิ่วหมิงประหลาดใจได้อย่างไร
ว่ากันว่าปีศาจมนุษย์กระดูกขาวระดับพันกระดูกมีพลังเทียบเท่ากับอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นปีศาจมนุษย์ระดับหมื่นกระดูกจะแข็งแกร่งแค่ไหน!
หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว และกูเหมือนจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้แล้ว
“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้เคยช่วยปรมาจารย์ลิ่วยินปราบศัตรูมามากต่อมากแล้ว พูดถึงชื่อเสียงของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาปีศาจเลย เหตุที่มีคนรู้จักมันน้อยมาก เป็นเพราะว่ามันถูกทำลายในครั้งที่ปรมาจารย์เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แม้ว่าภายหลังจะถูกปรมาจารย์ซ่อมแซมอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเดิมแล้ว รักษาไว้ได้เพียงแค่พลังเกือบครึ่งหนึ่งไว้ได้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสามารถต้านทานพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นได้ แน่นอน! เรื่องนี้ยังไม่เคยมีการทดสอบดูว่าจริงเท็จแต่ประการใด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว
“พลังเกือบครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสามารถเทียบได้กับพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น! ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ น่ากลัวกว่าในตำนานมาก” หลิ่วหมิงจ้องมองโครงกระดูกจิ๋วในม่านแสงด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ว่ากันว่าส่วนสำคัญของกระดูกจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ทำเป็นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้พลังของมันจึงแข็งแกร่งกว่า ‘ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก’ โดยทั่วไปสองสามส่วน แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่มันถูกทำลายนั้น กลับใช้กระดูกจิตวิญญาณอันอื่นมาซ่อมแซม และนำไปบ่มเพาะในหลุมพลังหยินบางแห่ง ให้ไอหยินค่อยๆ บ่มเพาะมัน แต่พันกว่าปีก่อนได้พยายามซ่อมแซมมาได้แค่ระดับนี้ จากนั้นก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีก และวิญญาณนักรบระดับสูงสุดที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ควบคุมอยู่ก็แตกสลายไปนานแล้ว ต่อมาผู้อาวุโสรุ่นหลังๆ ก็ลองใช้วิญญาณนักรบอย่างอื่นมาควบคุม แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ จนมีผู้น้อยคนหนึ่งที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมกระดูก ใช้คล็ดวิชานี้กระตุ้นปีศาจมนุษย์โดยตรงจนทำให้มันเคลื่อนไหวได้หนึ่งครั้ง โดยไม่ต้องใช้วิญญาณนักรบควบคุมเลย” ประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ อธิบายออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว! ศิษย์พี่ท่านประมุขคิดว่าถ้าข้าสามารถควบคุมปีศาจหมื่นกระดูกนี้ได้ ก็จะสามารถใช้มันต้านทานเผ่าเจ้าสมุทรได้ดีกว่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนั้น แต่เมื่อไม่มีวิญญาณนักรบคอยควบคุมอยู่ เกรงว่าอานุภาพมันคงลดลงไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในแต่ละรุ่น แม้จะขาดวิญญาณนักรบระดับสูงสุดไป แต่อานุภาพของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ค้อนกลืนวิญญาณจะสามารถเทียบได้ และด้วยความสามารถของศิษย์น้อง สามารถควบคุมได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกย่อมควบคุมได้ยากกว่าค้อนกลืนวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นท้ายสุดแล้วศิษย์น้องจะเลือกชิ้นไหน ก็ต้องลองทดสอบดูผลลัพธ์ก่อนถึงจะได้ แต่นอกจากจะใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกควบคุมค้อนกลืนวิญญาณแล้ว ศิษย์พี่ยังมีวิธีอื่นที่พอจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ เพียงแต่วิธีการนี้มีผลกระทบในภายหลังไม่น้อย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่คิดจะใช้มัน” ประมุขนิกายปีศาจยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ข้าเข้าใจความหมายของศิษย์พี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป และพยักหน้าตอบรับในทันที
“ดีมาก ข้าจะคลายผนึกเดี๋ยวนี้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ
จากนั้น เขาก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แผ่นค่ายกลสีทองแผ่นนั้นปรากฏขึ้นบนมืออีกครั้ง พอสะบัดข้อมือ มันก็ไปแปะอยู่บนม่านแสงหลากสี
“เพล้ง! แผ่นค่ายกลสั่นไหวแค่ไม่กี่ทีก็ทำให้ม่านแสงหลากสีแตกกระจายหายไปในพริบตา
ประมุขนิกายปีศาจถอยไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อดูว่าหลิ่วหมิงจะทำอย่างไรต่อไป
หลิ่วหมิงมองดูโครงกระดูกจิ๋วบนแท่นหิน หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็ทำท่ามืออย่างไม่รีบร้อน ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ
หลังจากที่เคล็ดวิชากระดูกดำฝึกฝนจนถึงขั้นที่สี่ เขาย่อมรับรู้ได้ถึงเคล็ดวิชาประหลาดที่ใช้ควบคุมกระดูกจิตวิญญาณชนิดต่างๆ
เวลาว่างระหว่างที่อยู่ในเสวียนจิงสี่ปีนั้น เขาย่อมใช้เวลาเล็กน้อยในการฝึกวิชานี้จนสำเร็จ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่แสดงวิชานี้ต่อหน้าคนอื่น
ไอสีดำพุ่งออกมาตามจังหวะการร่ายคาถา และหมุนวนรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ครู่เดียวก็มีเสียงพิลาปร่ำไห้อย่างน่าเวทนาดังมาแว่วๆ
ประมุขนิกายปีศาจที่แต่เดิมอมยิ้มมองดูอยู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
ดูเหมือนว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ของศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็หยุดร่ายคาถา และค่อยๆ เตะนิ้วลงบนโครงกระดูก
แสงสว่างเปล่งประกายออกมา
แสงสีขาวพุ่งยิงออกมา และหายวับเข้าไปในหัวกระโหลก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา