สีหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด ประมุขนิกายปีศาจกลับมีสีหน้าตื่นเต้นจนยากที่จะปิดบังได้
หลังจากเด็กชายทำความเคารพ และกลับเข้าไปในหุบเขาแล้ว ประมุขนิกายปีศาจก็หยิบคัมภีร์เล่มบางๆ ให้กับหลิ่วหมิงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ข้ามีบันทึกความรู้การควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกของปรมาจารย์ในปีนั้นอยู่เล่มหนึ่ง เจ้าเอากลับไปอ่านดู ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันหรือไม่นั้น คงต้องพึ่งเคล็ดวิชากระดูกดำของศิษย์น้องแล้วล่ะ ศิษย์น้องรีบนำคัมภีร์เล่มนี้ไปทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่แน่อาจได้ใช้ในภายหลัง”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลิ่วหมิง แต่เขาก็ตอบรับกลับไปทันที
จากนั้นประมุขนิกายปีศาจกล่าวกำชับอีกสองสามประโยค แล้วทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไป
หลิ่วหมิงขี่เมฆไปด้วย ชื่นชมป้ายกระดูกในมือไปด้วย พอเขานึกถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็อดใจเต้นโครมครามไม่ได้
พอปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกขยายตัว มันก็มีพลังเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก เกรงว่าคงจะมีพลังระดับผลึกจริงๆ
แต่หลิ่วหมิงไม่อาจนำปีศาจมนุษย์ตนนี้ออกจากแดนต้องห้ามได้ หลังจากประมุขนิกายปีศาจเห็นเขาใช้ป้ายกระดูกขาวควบคุมปีศาจมนุษย์ได้แล้ว ก็เพียงแต่บอกให้หลิ่วหมิงมาที่หุบเขากับเขาหลายๆ ครั้ง เพื่อฝึกวิธีการควบคุมเล็กน้อย
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และกลับถึงที่พักบนเขาเก้าทารกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และทำการครุ่นคิดขึ้นมา
ประมุขนิกายปีศาจยอมนำสมบัติล้ำค่าอย่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกออกมาใช้เช่นนี้ คิดว่าสถานการณ์การต่อสู้ของแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรที่ชายแดนคงจะไม่ค่อยดีมากนัก
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นของเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ คิดว่าคงจะเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเผชิญกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นสูงหรือว่าระดับผลึกล่ะก็ เกรงว่าคงจะได้รับอันตรายจนถึงชีวิต
และถ้าเขาควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกที่มีพลังทัดเทียมกับระดับผลึกไปเผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ เกรงว่าไม่ช้าก็เลวคงถูกผู้ฝึกฝนระดับนี้ของเผ่าเจ้าสมุทรจับตามอง
พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เดิมทีคิดว่าหลังเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ตัวเองคงจะปลอดภัย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต้องเผชิญกับเรื่องนี้เข้าอย่างจัง
ด้วยสถานการณ์ของนิกายปีศาจในตอนนี้ เขาไม่อาจปฏิเสธหน้าที่สำคัญอย่างการควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกได้ ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะคุ้มครองชีวิตของเขาในศึกใหญ่กับเผ่าเจ้าสมุทรก็คือ ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองอย่างบ้าคลั่ง
เพียงแค่เขาเพิ่มพลังอีกเท่าตัวก่อนไปชายแดน ก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็หลับตาทั้งคู่ทันที ขณะเดียวกันลำแสงก็เปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ คัมภีร์หนาๆ ที่ถูกไอสีดำรัดพันอยู่ปรากฏออกมา
มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้น!
ตั้งแต่ได้รับคัมภีร์เล่มนี้มา เขาแค่ดูผ่านๆ ไปหนึ่งรอบ ก็รู้สึกว่ามันล้ำลึกเกินไปจึงไม่ได้เปิดดูอีกเลย
หลังจากเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาก็ต้องทำระดับให้มั่นคง จึงยังไม่ได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดคัมภีร์ในสมองทีละหน้า และอ่านดูอย่างละเอียด
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจระคนดีใจ
การเปิดอ่านคัมภีร์ในก่อนหน้านั้น เป็นเพราะระดับการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ จึงอ่านเข้าใจได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วน นอกจากจะรู้ว่าวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
แต่การทำความใจในตอนที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ กลับรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก สิ่งที่ไม่เข้าใจในแต่ก่อนก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
แม้ว่าตอนนี้เขาไม่อาจทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอเข้าใจเนื้อหาได้หกถึงเจ็ดส่วน ส่วนที่เหลือมันคลุมเครือเกินไป ถ้าใช้เวลาศึกษาอีกสักหน่อย ก็เข้าใจได้หมดอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นวิชาแบบใด
เคล็ดวิชานี้คล้ายกับเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันมาก
ที่เหมือนกันคือ หลังจากฝึกฝนวิชานี้แล้ว ร่างกายจะแข็งแกร่งเหมือนกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ที่ต่างกันก็คือระดับการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชากระดูกดำจะเทียบได้
ถ้าจะบอกว่าหลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำแล้วมีผลต่อพลังเวทย์หกส่วนล่ะก็ หลังฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เก้าในสิบส่วนจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของร่างกาย และเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งส่วนที่มีผลในด้านพลังเวทย์
สิ่งที่ทำให้รู้สึกตกตะลึงก็คือ เคล็ดวิชานี้ถูกแบ่งเป็นหกขั้น สอดคล้องกับเขตแดนทั้งหกของระดับเหลวและระดับผลึก ทุกการฝึกฝนสำเร็จในแต่ละขั้น จะทำให้ผู้ฝึกฝนมีพลังมากขึ้นหนึ่งส่วน ถ้าฝึกฝนจนสำเร็จขั้นที่หก ก็มีพลังมากขึ้นหกส่วน และหลังจากฝึกฝนจนถึงระดับที่สาม ยังสามารถสร้างอภินิหาร ทำให้คนตกอยู่ในดินแดนแห่งความเพ้อฝันโดยไม่รู้ตัว
หลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ หลิ่วหมิงเคยไปหอเก็บคัมภีร์ เพื่อค้นดูวิชาระดับอาจารย์จิตวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเล่มไหนเหมือนกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเลย
ถ้าที่บรรยายไว้ในคัมร์ภีเป็นเรื่องจริงล่ะก็ เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะต้องเป็นหนึ่งในวิชาระดับสูงสุดของวิชาสายปีศาจอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดด้วยตาที่เป็นประกายเร่าร้อน แต่พอคิดถึงความลำบากในการฝึกฝนแล้วก็แบะปากอย่างอดไม่ได้
เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ไม่สามารถอาศัยปราณฟ้าดินในการยกระดับได้ แต่ละช่วงเวลาต้องอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนเท่านั้น
แต่ปราณหยินคือสิ่งที่น่ากลัวมาก ภายใต้สถานที่ที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปถูกเซาะกร่อนเป็นเวลานาน มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งปีศาจ
หลิ่วหมิงหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดตั้งครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ภายหลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา