เดิมทีเขาก็มีโครงกระดูกแวววาวขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีอักขระสีเงินจางๆ ปรากฏบนพื้นผิว แม้ว่ามันจะเล็กละเอียดและพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็แตกต่างจากก่อนหน้านั้นมาก
หลิ่วหมิงกำนิ้วมือทั้งสิบไว้แน่น เขาสัมผัสถึงความหนาแน่นของโครงกระดูกในทันที ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อครู่ นอกจากเขาจะกลั่นโสมคน จนทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นอีก
นอกจากโสมคนทองคำจะช่วยยกระดับการฝึกฝนเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีผลลัพธ์ในด้านอื่นอีก
เช่นนี้ก็แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูกภายในร่าง เกิดจากพลังเวทย์ภายในร่างแปดถึงเก้าส่วน
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณ จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำสำเร็จแต่ละขั้น ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ และโครงกระดูกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเช่นนี้
หรืออาจเป็นเพราะว่าเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่จนสมบูรณ์แบบ จนสามารถฝึกฝนขั้นที่ห้าได้
หลิ่วหมิงระงับอาการดีใจ และเริ่มแสดงสีหน้าลังเลขึ้นมา
ผ่านไปสักครู่ เขาถึงชักกระบี่สั้นออกมา แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายก่อนที่เขาจะหั่นโสมคนสีทองในกล่องออกมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปาก
ฉากเดิมๆ เริ่มเกิดขึ้นในห้องลับอีกครั้ง
ไอดำพวยพุ่งไปทั่วห้องลับอย่างรวดเร็ว และมีเสียงดังของกระดูกออกมาเป็นระยะๆ
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อไอดำทั้งหมดม้วนหายจนหมดสิ้น หลิ่วหมิงจึงลุกขึ้นมา หลังจากขยับแข้งขยับขาแล้ว ก็พลันสูดหายใจเข้าไปลึกๆ และกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น
“ตู๊ม!” คลื่นอากาศม้วนตัวออกจากเท้าของเขา พื้นดินแตกร้าวออกมา ห้องลับทั้งหลังสั่นไหว
เขาใช้พลังจิตกวาดดูภายในร่าง พริบตาเดียวก็ค้นพบว่าขนาดของอักขระสีเงินบนโครงกระดูกแต่ละส่วน มีขนาดใหญ่และชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก ตอนนี้ไม่ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำให้สูงขึ้นไปอีกขั้น อาศัยเพียงแค่พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น โครงกระดูกในร่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
พอฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจนถึงขั้นที่ห้า ไม่คิดว่ามันจะให้ผลลัพธ์อันน่าตกใจเช่นนี้ หากสามารถฝึกฝนต่อไปได้ล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขามีพลังปาฏิหาริย์หรอกหรือ?
นิกายปีศาจในสมัยก่อน ไม่เคยมีคนฝึกฝนวิชานี้จนถึงระดับของเหลวมาก่อน ถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงเกิดความฮือฮาไม่ใช่น้อย
มิน่าตอนนั้นปรมาจารย์ลิ่วยินถึงได้ให้ความสำคัญกับมันมาก และยังบอกว่ามันมีประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ และยังแปลขั้นก่อนหน้าเองสองสามขั้น
หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ดีที่ว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่จะฝึกฝนต่อ ก็เป็นวิชาระดับสุดยอดเช่นกัน สิ่งนี้มันช่วยปลอบใจเขาได้มาก
จากคำพูดจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยิน เคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนหลังน่าจะอยู่ใน ‘แผ่นดินจงเทียน’ ภายหน้าก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสไปเสาะหา
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จิตของเขาค่อยๆ สั่นไหว
เวลาในหลายวันต่อมา เขาเริ่มทานสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด เพื่อให้พลังเวทย์ในร่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากกว่าตอนที่เพิ่งเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณสามส่วน
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่เขาทานสมุนไพรจิตวิญญาณต้นสุดท้ายหมดแล้ว อักขระสีเงินบนกระดูกไม่เพียงแต่จะแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น พื้นที่ว่างอื่นๆ ก็มีอักขระสีเงินพร่ามัวออกมาใหม่ และความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของตอนเริ่มต้น
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงก็น่าตกใจเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างโดยเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
ผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากทำพลังเวทย์ที่เพิ่มมาให้มั่นคงเล็กน้อยแล้ว ก็ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งเดือนพอดี
เขาออกไปจากห้องลับ และเหาะไปจากเขาเก้าทารกทันที
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมบริเวณยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ พอเขายกแขนเสื้อขึ้น พลังไร้รูปบางอย่างก็ชนเข้าใส่ประตูหินสีแดงที่อยู่ไม่ไกล
“ตุบ!”
ประตูหินสั่นไหว แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา
จากนั้นเขาก็รออยู่กลางอากาศเงียบๆ
ไม่นานประตูหินก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างกำยำที่เคยเจอในครั้งนั้นเดินออกมา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคารวะอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาหลิ่ว อาจารย์ได้สั่งไว้ว่า ถ้าหลายวันนี้อาจารย์อามาหา ก็ให้เขาไปได้เลยโดยไม่รายงาน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องรบกวนศิษย์หลานแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าวโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“อาจารย์อา เชิญ!” ชายร่างกำยำกล่าวอย่างนอบน้อมก่อนนำทางเข้าไป
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกชายหนุ่มพามายังห้องรับรองที่งดงามและละเอียดอ่อน
ณ ตรงนั้น ชายชุดคลุมสีดำขมวดคิ้ว และกำลังศึกษาคัมภีร์หนาๆ ที่ประคองอยู่ในมือ
และพริบตาที่หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องโถง ผู้อาวุโสก็รีบเก็บคัมภีร์ทันที และเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องหลิ่วมาได้ทันเวลาพอดี สิ่งที่เจ้าต้องการเพิ่งหลอมเสร็จเมื่อสองวันก่อน”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าศิษย์พี่หลอมสำเร็จแล้วใช่ไหม!” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา