ถ้าไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานล่ะก็ ผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายปีศาจคงคิดว่า มีเรื่องดีเกิดขึ้นกับนิกายอีกครั้งแล้ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ากลิ่นไอของหยางเฉียนในตอนนี้ หนักแน่นและมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม ประจักษ์ชัดว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายปีศาจในตอนนั้น ก็สะสมพลังมาเป็นอย่างมาก และไม่ได้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเพราะความโชคดีเลย
หลิ่วหมิงกับหยางเฉียนพูดคุยกันได้สองประโยค ก็พลันได้เสียงของอาจารย์อาเยี่ยนดังขึ้นในหู
“เอาล่ะ! มีเรื่องอะไรที่อยากพูดให้พูดกันต่อในภายหลัง ตอนนี้ถือโอกาสที่ทุกคนอยู่พร้อมกัน เรามาปรึกษาหารือกันสักสองสามเรื่องเถอะ”
ได้ยินผู้อาวุโสระดับผลึกเพียงหนึ่งเดียวของนิกายปีศาจกล่าวเช่นนี้ ทุกคนย่อมเชื่อฟัง และแยกไปนั่งเก้าอี้ทั้งสองด้านทันที
“ศิษย์หลานเหลย เจ้าเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่เข้าร่วมศึกก่อนใคร เจ้าเล่าเรื่องความร่วมมือเป็นพันธมิตร และเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าเจ้าสมุทรให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ้าฟังคร่าวๆ เถอะ” อาจารย์อาเยี่ยนเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ทราบ! ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านคงได้รับข่าวในก่อนหน้านั้นแล้ว คิดว่าคงพอเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริง ศึกมนุษย์เรากับเผ่าเจ้าสมุทรมันแย่กว่าที่พวกท่านคิดไว้มาก” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับ และลุกขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกข้าจะตั้งใจฟัง” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
หลิ่วหมิงและคนมาใหม่ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
“หลังจากที่กองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรถูกพวกเราขัดขวางเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบว่าไม่สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ดังนั้นต่างฝ่ายต่างก็สร้างเมืองสงครามขึ้นมา เพื่อเตรียมทำศึกระยะยาว เดิมทีในปีแรก ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายต่างก็ไม่มีใครยอมลงมือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเมืองสงครามของตนเอง และต่างก็ยังรักษาสถานะของตนเองไว้ได้ แต่สามปีให้หลัง ทางฝ่ายเผ่าเจ้าสมุทรกลับมีกำลังแข็งแกร่งมาสนับสนุนเพิ่ม ทำให้พวกเราลำบากไม่น้อย ต่อมาได้สอบถามจากปากเผ่าเจ้าสมุทรที่ถูกจับเป็นมาคนหนึ่ง ถึงทราบว่า พอเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่มหาสมุทรที่ไกลออกไป ได้ทราบข่าวเรื่องสามเผ่าใหญ่ของเจ้าสมุทรยึดครองแคว้นในแผ่นดินอวิ๋นชวนของพวกเราได้ ก็ส่งคนมาร่วมด้วย และเผ่าเจ้าสมุทรที่มาจากแดนไกลนี้ มีผู้อาวุโสระดับผลึกสองคน ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายต่างๆ ยิ่งไม่กล้าออกหน้าโดยง่าย ดังนั้นการต่อสู้ในภายหลังพวกเราล้วนตกเป็นเบี้ยล่าง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เผ่าเจ้าสมุทรได้โจมตีมาถึงหน้าเมืองสงคราม ถ้าไม่ใช่เพราะว่า พวกเรารวมพลังใช้ท่าไม้ตายหลากหลายรูปแบบ ทำให้เผ่าเจ้าสมุทรเสียเปรียบเป็นอย่างมากล่ะก็ เกรงว่าคงถูกฝ่ายตรงข้ามล้อมโจมตีแล้ว
สถานการณ์ที่ทุกท่านเห็นในก่อนหน้านั้น พวกเรากำลังให้คนซ่อมแซมกำแพงที่ถูกทำลายไป เพื่อที่มันจะมากลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิม นอกจากนี้ ในหนึ่งเดือนก่อน เผ่าเจ้าสมุทรส่งทูตมาบอกว่า พวกเขาเตรียมทำลายนัดหมายที่ผู้อาวุโสระดับผลึกได้ทำไว้ในก่อนหน้า นอกเสียจากว่าอาจารย์อาเยี่ยนและผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ จะนัดหมายประลองกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรสักครั้ง แต่การต่อสู้ในครั้งนั้น ทำให้อาจารย์อาเยี่ยนกับผู้อาวุโสหลิงอวี้บาดเจ็บมาจนถึงทุกวันนี้ และฝ่ายตรงข้ามกลับยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมา ถ้าต่อสู้กันในสถานการณ์ปกติล่ะก็ ฝ่ายพวกเราไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะเลยแม้แต่น้อย
ดีที่ว่าในตอนนี้ กำลังสนับสนุนของแต่ละแคว้นในแผ่นดินอวิ๋นชวน คงออกเดินทางมากันแล้ว คาดว่าสามเดือนให้หลังคงจะมาถึง ดังนั้นแผนของพวกเราในตอนนี้ตอนนี้คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนหยัดให้ผ่านสามเดือนนี้ไปให้ได้
ดีที่ถึงแม้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นจะพูดว่า จะทำลายนัดหมายของผู้อาวุโสระดับผลึก แต่พวกเขาก็หวาดกลัวอาจารย์อาเยี่ยนและคนอื่นๆ จะตอบโต้กับกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทร ช่วงนี้จึงยังไม่เห็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกร่วมทำศึก ดูท่าคงจะยืดไปเวลาออกไปได้ระยะหนึ่ง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อาจารย์อา ท่านได้รับบาดเจ็บแล้วทำไมถึงไม่พูดเรื่องนี้กับทางนิกายล่ะ?” พอประมุขนิกายปีศาจฟังจบ ก็หันไปถามอาจารย์อาเยี่ยนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเปลี่ยนไปมาก
“วางใจเถอะ! แม้ว่าตอนนั้นข้าถูกเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่งโจมตี แต่ตอนนี้ก็ฟื้นฟูมาเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว ที่เหลือนับว่าบาดเจ็บเบาๆ เท่านั้น ที่ไม่บอกพวกเจ้าในตอนแรก เพราะกลัวว่าจะสร้างความกังวลให้กับพวกเจ้า เพราะว่านิกายปีศาจยังต้องให้คนแก่อย่างข้าดูแลอยู่” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนจะไม่ใส่ใจมัน
“ศิษย์หลานละอายใจยิ่งนัก ที่ยังให้ผู้อาวุโสอายุเยอะอย่างอาจารย์อาต้องมากังวลเรื่องของนิกาย ถ้าตอนนั้นไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับศิษย์พี่หลานล่ะก็ ไม่แน่นิกายเราอาจจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมาอีกคน” ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ
“เรื่องศิษย์พี่หลานของเจ้าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ แต่นี่เป็นเพราะว่าเขามีวาสนาน้อย มิเช่นนั้นแค่เขาออกไปจัดการเรื่องง่ายๆ นอกนิกาย จะหายสาบสูญไปได้อย่างไร และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจหาสาเหตุการเสียชีวิตของเขาได้” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยินชื่อ ‘ศิษย์พี่หลาน’ ก็มีสีหน้ามืดมนขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่า ‘ศิษย์พี่หลาน’ ที่กล่าวถึงคือใคร แต่ดูจากสีหน้าที่ดูไม่ปกติของอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ นอกจากหยางเฉียน และเกาชงแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าคนผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ! เรื่องเก่าอย่าไปพูดถึงให้มากเลย สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ทำอย่างไรถึงจะผ่านด่านเคราะห์ตรงหน้านี้ไปได้ แม้คนแก่อย่างพวกข้าจะตัดสินใจยืดเวลาออกไป แต่ก็อยากจะโจมตีอย่างรุนแรงสักครั้งสองครั้ง เพื่อให้เผ่าเจ้าสมุทรได้รับความเจ็บปวด พวกมันจะได้ไม่มาบีบบังคับพวกเรามากเกินไป ดีที่ยังมีเวลารอจนกว่ากำสนับสนุนจะมาถึง ศิษย์หลานท่านประมุข ของที่ข้าให้เอามา เจ้านำมาด้วยหรือไม่?” ดวงตาของอาจารย์อาเยี่ยนเปล่งประกายอยู่สองสามที จากนั้นถึงถามประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าสงบ
“อาจารย์อาวางใจเถอะ! ข้านำมันมาหมดแล้ว และยังมีเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงอีกเรื่อง ตอนนี้ศิษย์หาผู้ที่เหมาะสมจะควบคุมของสิ่งนั้นได้แล้ว ซึ่งก็คือศิษย์น้องหลิ่วที่เพิ่งบรรลุระดับมานั้นเอง” ประมุขนิกายปีศาจตอบอย่างนอบน้อม
“อะไรนะ! เจ้าหาคนควบคุมมันได้แล้ว? ศิษย์หลานหลิ่ว เป็นเรื่องจริงหรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนแสดงสีหน้าตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก และกวาดสายตาไปที่หลิ่วหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา