ในเมื่อหยางเฉียนบอกว่าเป็นการรวมตัวของอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุเข้ามาใหม่ เกาชงก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่
แต่หลังจากชายหนุ่มหน้าดำทักทายหยางเฉียนแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความอบอุ่น
“ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ศิษย์น้องไป๋มาปรากฏตัวที่นี่ได้ เดิมทีคิดว่านิกายปีศาจมีแค่พี่หยางกับศิษย์น้องเกาชงที่บรรลุระดับเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ถึงสามคน แต่ดูจากการแสดงออกของศิษย์น้องในแดนลึกลับแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ใช่สิ! ข้าเกือบลืมไป ศิษย์น้องไป๋ได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ต้องเรียกว่าศิษย์น้องหลิ่วจึงจะถูก”
“มิกล้า! ข้าเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้เพราะความโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! พี่อวิ๋น ท่านทราบเรื่องที่ข้าเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณจำนวนมากมายเช่นนี้ เจ้ากลับกลายเป็นอาจารย์วิญญาณได้ ถือเป็นความโชคดีได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ถ่อมตนอีกเลย ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อ พี่หยางเคยบอกพวกเราในก่อนหน้าแล้ว เจ้ากับพี่หยางมานั่งกันเถอะ พวกเรากำลังหารือแผนการรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าว
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที
หยางเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มแซ่อวิ๋นไปสองตัว หลิ่วหมิงนั่งตัวถัดมา
อีกข้างหนึ่งของเขาเป็นหญิงนิกายจันทราสวรรค์ใบหน้ารูปไข่ผู้นั้น
พอนางเห็นหลิ่วหมิงนั่งลงข้างๆ หน้าก็เริ่มแดงเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าให้หลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นท่าทีเอียงอายของหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มตอบรับกลับไป
ผลลัพธ์คือนางเขินอายมากกว่าเดิม และไม่กล้าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีก
แต่จางซิ่วเหนียงที่อยู่ข้างนาง เพียงแค่มองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
พอชายแซ่อวิ๋นเห็นหยางเฉียนนั่งลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ แต่หยางเฉียนกลับมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นชะงักในทันที หลังจากลูบจมูกตนเองแล้วก็นั่งลงที่เดิมด้วยความเคอะเขิน
“เอาล่ะ! ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วมาช้าไปหน่อย ทุกท่านช่วยบอกเนื้อหาที่หารือกันให้ข้าทั้งสองฟังหน่อยได้หรือไม่” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เมื่อครู่ พวกเรากำลังพูดเรื่องอสูรสมุทรที่ปรากฏตัวสองครั้งในก่อนหน้านี้ ซึ่งจัดการมันได้ยากมาก ทุกท่านมีวิธีรับมืออะไรไหม?” ชายหนุ่มตาโตคิ้วแดงแห่งนิกายวาตอัคคีค่อยๆ กล่าวออกมา
“อ๋อ! ศิษย์น้องเถียนพูดถึงเจ้าตัวที่สามารถพ่นน้ำทะเลออกมาไม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้อากาศบริเวณนั้น กลายเป็นพื้นที่ของปลาวาฬยักษ์ใช่ไหม!” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่หยางรู้ชัดแจ้งเช่นนี้ หรือว่าท่านเคยพบอสูรสมุทรในการสู้รบครั้งก่อน?” ชายหนุ่มคิ้วแดงถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่เพียงแต่ได้เจอกับมันเท่านั้น ข้าเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือมันกับอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่ง” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อืม! อสูรสมุทรตนนี้รับมือได้ยากจริงๆ ตัวมันเองไม่สามารถโจมตีได้ แต่กลับมีเนื้อหนังในการป้องกันที่น่าตกใจ ทั้งยังควบคุมน้ำทะเลอย่างชำนาญ ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ร่วมมือกับมันล่ะก็ พลังคงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย เดิมทีคิดว่ามีแค่ศิษย์น้องเถียนกับศิษย์น้องจางที่ได้พบกับมัน แต่ในตอนนี้กลับมีพี่หยางเพิ่มขึ้นมาอีกคน” เซวี่ยชื่อเอ่ยปากออกมา
“อ๋อ! ศิษย์น้องจางก็เคยเจออสูรสมุทรตนนี้ด้วย? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องรับมือกับมันอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงวิชาหลบหนีไป” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็หันมากล่าวกับจางซิ่วเหนียงด้วยความประหลาดใจ
“ข้าทำลายการป้องกันตัวของอสูรสมุทรตนนั้นก่อน และฆ่ามันในดาบเดียว จากนั้นก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งของอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรไว้” จางซิ่วเหนียงกล่าวอย่างสงบ
พอได้ยินเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากต่างก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และมองมาด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์น้องจางสมกับเป็นเจ้าของร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่จริงๆ หลังจากบรรลุระดับแล้ว อานุภาพของกระบี่บินแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางก็ไม่อาจเทียบได้” เซวี่ยชื่อกล่าว
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิตผู้นี้ เคยได้รับความเจ็บปวดจากจางซิ่วเหนียงมาไม่ใช่น้อย หลังจากบรรลุระดับแล้ว วิชาสายธารโลหิตของเขา เข้าสู่ขั้นที่ยากจะหาที่เปรียบได้ และน่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เป็นสองรองใครของนิกายจันทราผู้นี้ได้ แต่ตั้งแต่หลังจากเห็นนางต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่หลายครั้ง เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างเด็ดขาด
ส่วนหยางเฉียนกับชายหนุ่มคิ้วแดงที่เคยเห็นอสูรเจ้าสมุทร ต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“ศิษย์พี่จาง เชี่ยวชาญวิชากระบี่บินถึงขั้นนี้ และบรรดาพวกเราก็มีแค่นางเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นวิธีรับมืออสูรสมุทรของนาง เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้ แต่ในเมื่ออสูรตนนี้เชี่ยวชาญวิชาควบคุมวารี พวกเราใช้เพลิงอัคคีรับมือดีหรือไม่?” เกาชงถามออกไป
“เกรงว่าจะไม่ได้ บอกทุกท่านอย่างไม่บิดบัง ข้านับว่าเป็นผู้ที่ชำนาญวิชาธาตุไฟ และยังมีอาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันคอยช่วย แต่พลังการกระตุ้นเพลิงอัคคีไม่สามารถทำลายน้ำทะเลจำนวนมากได้ในทันที ถ้าแค่รับมือกับอสูรตนนี้เพียงอย่างเดียวก็พอได้ ซึ่งใช้เวลานิดหน่อยเท่านั้น แต่บริเวณใกล้ๆ ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่อาจสังหารอสูรเจ้าสมุทรตนนี้ได้” ชายหนุ่มคิ้วแดงขมวดคิ้วกล่าว
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าติดต่อกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา