ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 258

สรุปบท ตอนที่ 258: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 258 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 258 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 258 การแลกมือ
ตอนที่ 258 การแลกมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงเห็นเกาชงอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

ในเมื่อหยางเฉียนบอกว่าเป็นการรวมตัวของอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุเข้ามาใหม่ เกาชงก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่

แต่หลังจากชายหนุ่มหน้าดำทักทายหยางเฉียนแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความอบอุ่น

“ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ศิษย์น้องไป๋มาปรากฏตัวที่นี่ได้ เดิมทีคิดว่านิกายปีศาจมีแค่พี่หยางกับศิษย์น้องเกาชงที่บรรลุระดับเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ถึงสามคน แต่ดูจากการแสดงออกของศิษย์น้องในแดนลึกลับแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ใช่สิ! ข้าเกือบลืมไป ศิษย์น้องไป๋ได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ต้องเรียกว่าศิษย์น้องหลิ่วจึงจะถูก”

“มิกล้า! ข้าเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้เพราะความโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! พี่อวิ๋น ท่านทราบเรื่องที่ข้าเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮ่อๆ! ในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณจำนวนมากมายเช่นนี้ เจ้ากลับกลายเป็นอาจารย์วิญญาณได้ ถือเป็นความโชคดีได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ถ่อมตนอีกเลย ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อ พี่หยางเคยบอกพวกเราในก่อนหน้าแล้ว เจ้ากับพี่หยางมานั่งกันเถอะ พวกเรากำลังหารือแผนการรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าว

หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที

หยางเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มแซ่อวิ๋นไปสองตัว หลิ่วหมิงนั่งตัวถัดมา

อีกข้างหนึ่งของเขาเป็นหญิงนิกายจันทราสวรรค์ใบหน้ารูปไข่ผู้นั้น

พอนางเห็นหลิ่วหมิงนั่งลงข้างๆ หน้าก็เริ่มแดงเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าให้หลิ่วหมิง

พอหลิ่วหมิงเห็นท่าทีเอียงอายของหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มตอบรับกลับไป

ผลลัพธ์คือนางเขินอายมากกว่าเดิม และไม่กล้าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีก

แต่จางซิ่วเหนียงที่อยู่ข้างนาง เพียงแค่มองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา

พอชายแซ่อวิ๋นเห็นหยางเฉียนนั่งลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ แต่หยางเฉียนกลับมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง

ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นชะงักในทันที หลังจากลูบจมูกตนเองแล้วก็นั่งลงที่เดิมด้วยความเคอะเขิน

“เอาล่ะ! ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วมาช้าไปหน่อย ทุกท่านช่วยบอกเนื้อหาที่หารือกันให้ข้าทั้งสองฟังหน่อยได้หรือไม่” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“เมื่อครู่ พวกเรากำลังพูดเรื่องอสูรสมุทรที่ปรากฏตัวสองครั้งในก่อนหน้านี้ ซึ่งจัดการมันได้ยากมาก ทุกท่านมีวิธีรับมืออะไรไหม?” ชายหนุ่มตาโตคิ้วแดงแห่งนิกายวาตอัคคีค่อยๆ กล่าวออกมา

“อ๋อ! ศิษย์น้องเถียนพูดถึงเจ้าตัวที่สามารถพ่นน้ำทะเลออกมาไม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้อากาศบริเวณนั้น กลายเป็นพื้นที่ของปลาวาฬยักษ์ใช่ไหม!” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่หยางรู้ชัดแจ้งเช่นนี้ หรือว่าท่านเคยพบอสูรสมุทรในการสู้รบครั้งก่อน?” ชายหนุ่มคิ้วแดงถามด้วยความแปลกใจ

“ไม่เพียงแต่ได้เจอกับมันเท่านั้น ข้าเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือมันกับอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่ง” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อืม! อสูรสมุทรตนนี้รับมือได้ยากจริงๆ ตัวมันเองไม่สามารถโจมตีได้ แต่กลับมีเนื้อหนังในการป้องกันที่น่าตกใจ ทั้งยังควบคุมน้ำทะเลอย่างชำนาญ ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ร่วมมือกับมันล่ะก็ พลังคงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย เดิมทีคิดว่ามีแค่ศิษย์น้องเถียนกับศิษย์น้องจางที่ได้พบกับมัน แต่ในตอนนี้กลับมีพี่หยางเพิ่มขึ้นมาอีกคน” เซวี่ยชื่อเอ่ยปากออกมา

“อ๋อ! ศิษย์น้องจางก็เคยเจออสูรสมุทรตนนี้ด้วย? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องรับมือกับมันอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงวิชาหลบหนีไป” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็หันมากล่าวกับจางซิ่วเหนียงด้วยความประหลาดใจ

“ข้าทำลายการป้องกันตัวของอสูรสมุทรตนนั้นก่อน และฆ่ามันในดาบเดียว จากนั้นก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งของอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรไว้” จางซิ่วเหนียงกล่าวอย่างสงบ

พอได้ยินเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากต่างก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และมองมาด้วยความประหลาดใจ

“ศิษย์น้องจางสมกับเป็นเจ้าของร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่จริงๆ หลังจากบรรลุระดับแล้ว อานุภาพของกระบี่บินแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางก็ไม่อาจเทียบได้” เซวี่ยชื่อกล่าว

ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิตผู้นี้ เคยได้รับความเจ็บปวดจากจางซิ่วเหนียงมาไม่ใช่น้อย หลังจากบรรลุระดับแล้ว วิชาสายธารโลหิตของเขา เข้าสู่ขั้นที่ยากจะหาที่เปรียบได้ และน่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เป็นสองรองใครของนิกายจันทราผู้นี้ได้ แต่ตั้งแต่หลังจากเห็นนางต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่หลายครั้ง เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างเด็ดขาด

ส่วนหยางเฉียนกับชายหนุ่มคิ้วแดงที่เคยเห็นอสูรเจ้าสมุทร ต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น

“ศิษย์พี่จาง เชี่ยวชาญวิชากระบี่บินถึงขั้นนี้ และบรรดาพวกเราก็มีแค่นางเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นวิธีรับมืออสูรสมุทรของนาง เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้ แต่ในเมื่ออสูรตนนี้เชี่ยวชาญวิชาควบคุมวารี พวกเราใช้เพลิงอัคคีรับมือดีหรือไม่?” เกาชงถามออกไป

“เกรงว่าจะไม่ได้ บอกทุกท่านอย่างไม่บิดบัง ข้านับว่าเป็นผู้ที่ชำนาญวิชาธาตุไฟ และยังมีอาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันคอยช่วย แต่พลังการกระตุ้นเพลิงอัคคีไม่สามารถทำลายน้ำทะเลจำนวนมากได้ในทันที ถ้าแค่รับมือกับอสูรตนนี้เพียงอย่างเดียวก็พอได้ ซึ่งใช้เวลานิดหน่อยเท่านั้น แต่บริเวณใกล้ๆ ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่อาจสังหารอสูรเจ้าสมุทรตนนี้ได้” ชายหนุ่มคิ้วแดงขมวดคิ้วกล่าว

หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าติดต่อกัน

พอได้ยินเช่นนี้ สายตาจำนวนมากก็มองมาที่หลิ่วหมิงภายในพริบตา

หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติออกมาแต่อย่างไร

“สหายหลิ่วเป็นผู้มาใหม่ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าจะ……” ชายหนุ่มคิ้วแดงตาเป็นประกายขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกล่าวคำท้าสู้ออกมา พลันถูกใครบางคนขัดจังหวะโดยฉับพลัน

“หลิ่วหมิง เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?” เขาคือเกาชงที่กำลังจ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ

พอคำพูดนี้เปล่งออกมา นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงในทันที

อย่างที่รู้กันดีว่า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอย่างชัดแจ้งในระหว่างการแลกมือ แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นการท้าสู้ระหว่างนิกาย และไม่เคยมีการแลกมือกันภายในนิกายเดียวกันมาก่อน

แม้หยางเฉียนจะไม่แปลกใจที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงโทนต่ำกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องเกา เจ้า……”

“ศิษย์พี่หยาง ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่การแลกมือระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วจะต้องดำเนินต่อไป! ถ้าข้าแพ้ล่ะก็ ข้าจะปล่อยวางเรื่องระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วในก่อนหน้านั้น และจะไม่กวนใจเขาอีก ตั้งแต่นี้ไปถ้าสถานที่ไหนมีเขา ข้าก็จะหลบทางให้ และไม่แย่งชิงสิ่งใดกับเขาอีก แต่หากข้าชนะล่ะก็ เขาจะต้องคุกเข่าก้มศีรษะให้ข้าต่อหน้าผู้คนสามครั้ง ให้ข้าได้ระบายความคับแค้นใจออกมา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน

พอได้ยินเกาชงกล่าวอย่างหนักแน่นเช่นนี้ แววตาหยางเฉียนก็เปลี่ยนไปหลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงสองสามที ก็ถอนหายใจแล้วไม่กล่าวอะไรออกมาอีก

ข้อพิพาทระหว่างศิษย์น้องสองคนนี้ เขาได้บอกกล่าวไปแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะสะสมมาจนถึงขั้นนี้

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

“ได้! ในเมื่อศิษย์น้องเกามั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์น้องเกาแล้วล่ะ!” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่มองเกาชง และตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา