ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เกาชงนับว่าเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพราะเขาเคยสังหารผู้ฝึกฝนของเจ้าสมุทรที่อยู่ระดับเดียวกันมาแล้ว
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าในบรรดาพวกเขาจะเคยมีคนเห็นหลิ่วหมิงลงมือมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น พลังของเขาหลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ยังไม่เคยมีคนเห็นมาก่อน
พอเกาชงได้ยินคำตอบรับของหลิ่วหมิง ก็แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงก็ตามออกไปด้วย
คนอื่นๆ สบตากันทีหนึ่ง แล้วก็เดินตามออกไปด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
ไม่นาน หลิ่วหมิงกับเกาชงก็สบตากันไกลๆ อยู่บนอากาศเหนือลานกว้างตรงหน้าอาราม
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ารู้หรือไม่ เดิมทีข้าไม่ได้จงเกลียดจงชังเจ้า!” เกาชงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวกับหลิ่วหมิง
“อ๋อ! จริงหรือ!” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าหมิงจูคงกลายเป็นเตาหลอมพลังของข้าไม่ช้าก็เร็ว แม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของอาจารย์ได้ และตนเองก็ตกอยู่ในหลุมพรางนั้นจนไม่อาจถอนตัวได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นข้าจึงไม่กล้าให้ระดับการฝึกฝนของตนเองเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป เพื่อที่หมิงจูจะได้ไม่ต้องสละตนเอง ดังนั้นวันที่หมิงจูถูกแย่งไป กลับทำให้ข้ารู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ได้เตาหลอมพลังคนใหม่ และก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งก็คือ เจ้ากับหมิงจูมีการหมั้นหมายกันไว้ และในตอนท้ายทำไมถึงให้ตระกูลไป๋ถอนหมั้นล่ะ มันทำให้หมิงจูได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก! และข้าติดค้างหมิงจูมากขนาดนี้ วันนี้คงได้แต่ใช้วิธีนี้ตอบแทนนาง! นอกจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า คนอื่นอาจเห็นพวกเราเป็นอาจารย์จิตวิญญาณระดับเดียวกัน แต่ถ้าพูดถึงพลังที่แท้จริง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลยแม้แต่น้อย” เกาชงค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ แม้จะปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กล่าวออกไปด้วยท่าทีที่สงบ
“ที่แท้ศิษย์น้องเกาก็คิดเช่นนี้ ยังโชคดีที่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังสามารถใช้เตาหลอมพลังอันอื่นบรรลุระดับได้ แต่เรื่องที่ตระกูลไป๋ถอนหมั้นนั้น ต่างก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลของตนเอง สุดท้ายข้ากับเจ้าก็ยังอยากดูว่ากำปั้นใครใหญ่กว่ากัน แต่ข้ากลับแปลกใจว่า ทำไมศิษย์น้องเกาถึงได้มั่นใจเช่นนี้”
“ไม่ผิด! สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดของผู้ฝึกฝนอย่างข้ากับเจ้า ก็คือพลังของตนเอง! ส่วนที่ว่าทำไมถึงมั่นใจเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าวิชาที่เจ้าฝึกฝน ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้” เกาชงกล่าวและหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะทำท่ามือด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” อสรพิษยักษ์สีเลือดแปดตัวกระโดดออกจากไอหมอก
แต่ละตัวยาวสิบกว่าจั้ง ลำตัวของมันเต็มไปด้วยเกล็ด มีเขาอยู่บนหัวหนึ่งเขา ดวงตาราวกับกระดิ่ง ดูดุร้ายเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงกับอึ้งไปทันที แต่หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงค้นพบว่าอสรพิษที่ดูเหมือนมีชีวิตเหล่านี้ แท้จริงแล้ว เป็นแสงสีแดงไปทั้งตัว
หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นปรากฏออกมา
“เอ๊ะ! อสรพิษโลหิตทั้งแปดตัวช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก คงไม่ใช่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายท่านหรอกนะ?”
พอผู้ชมด้านล่างเห็นอสรพิษสีเลือดบนอากาศทั้งแปดตัว ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากเซวี่ยชื่อที่ฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็หลุดปากพูดออกมา
“เคล็ดวิชาแปดมังกรโลหิต! นี่คือวิชาอะไรกัน ใช่วิชาที่เกาชงฝึกฝนหลังบรรลุระดับหรือไม่?” หลิ่วหมิงย่อมได้ยินคำพูดของเซวี่ยชื่อ และคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดของเกาชงดังออกมาจากหมอกโลหิต
อสรพิษแปลกประหลาดส่ายหัวพ่นเปลวไฟสีเลือดเข้าหาหลิ่วหมิงเป็นจำนวนมาก
เปลวไฟสีเลือดเหล่านี้มายังไม่ทันมาถึงตัวหลิ่วหมิง กลิ่นคาวเลือดก็โชยเข้ามาในฉับพลัน จากนั้นหลิ่วหมิงก็สูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น
อย่างที่รู้ว่า เพราะเขาเคยทานสมุนไพรจิตวิญญาณไป ดังนั้นพิษธรรมดาจึงไม่มีผลต่อเขา ดูท่าเปลวไฟสีเลือดนี้คงจะไม่ธรรมดา
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และสะบัดกระบี่สั้นในมืออย่างไม่รอรี ทันใดนั้นชั้นจำกัดสิบกว่าชั้นก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา พอมีเสียงดังกังวานขึ้น เงากระบี่สีเขียวเงาหนึ่งก็เปล่งประกายออกมาและประกอบเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด
ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นเสียดกระดูกก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ แสงกระบี่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกายออกมา
เปลวไฟโลหิตพวยพุ่งรวมตัวกัน จากนั้นก็ถูกกระบี่สั้นสีเขียวกวาดออกไปจนหมดสิ้น
อสรพิษโลหิตสองในแปดตัวที่ปรากฏบนอากาศ ถูกคลื่นกระบี่สั้นสีเขียวฟาดฟันจนระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต
ขณะนี้ อานุภาพของแสงกระบี่สีเขียวก็หมดลง และพร่ามัวหายไปในอากาศ
แต่ฉากที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ด้านล่าง ต่างก็จ้องมองจนตาค้าง
“เป็นไปไม่ได้! เจ้ามีพลังแบบนี้ได้อย่างไร!” มีเสียงโมโหอย่างสุดขีดของเกาชงดังออกมาท่ามกลางไอหมอกโลหิต ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับผลการโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้
หลิ่วหมิงกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่สะบัดกระบี่จันทราหยกอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้ผู้ที่ชมฉากนี้อยู่รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
แม้แต่เขาเองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พอคิดไปคิดมาแล้ว ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ประการแรก เมื่อครู่เขาใช้วิธีการควบคุมกระบี่จิตวิญญาณตามบันทึกประสบการณ์ที่เย่เทียนเหมยให้ไว้ และการลงมือเมื่อครู่ก็เป็นวิธีการลงมือของผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง ดังนั้นมันจึงให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจเช่นนี้
ประการที่สอง กระบี่จันทราหยกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง พอสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้ อานุภาพก็ย่อมเพิ่มขึ้นหลายเท่า และเขาอาศัยความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่น ทำให้กระบี่เล่มนี้เปล่งอานุภาพขั้นสูงสุดของมันออกมา
สุดท้าย หลังจากเขาฟันกระบี่ออกไปแล้ว ก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในร่างเขาสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อกระบี่จิตวิญญาณเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา