ขณะเดียวกัน เกาชงที่อยู่ตรงหน้าก็มีสีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา อักขระโลหิตบนตัวหายวับไปทันที เขาดูอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะชำนาญเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ การประลองครั้งนี้นับว่าข้าแพ้ให้กับเจ้า ต่อไปข้าเกาชงจะรักษาสัญญา ไม่เพียงแต่เรื่องของหมิงจูเท่านั้น เรื่องที่เกี่ยวพันกับเจ้า ข้าก็จะหลบทางให้” สีหน้าเกาชงดูอึ้งทึ้งเป็นอย่างมาก จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
เขาคว้ามือข้างหนึ่งลงด้านล่าง
“ฟู่!”
ใบมีดโลหิตที่ตกลงพื้นพุ่งทะยานขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นกลุ่มแสงโลหิตตกอยู่ในมือเขา
จากนั้นเกาชงก็หมุนตัวจากไป
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“ข้าว่าแล้ว ทำไมเกาชงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณไม่นาน ก็สามารถกระตุ้นแปดมังกรโลหิตในตำนานได้ ที่แท้ก็เป็นพลังจากอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้น ไม่รู้ว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ดูท่าคงจะเพิ่มพลังให้กับการฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตได้เป็นอย่างมาก” เซวี่ยชื่อถอนหายใจกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เกรงว่าจะทำให้พี่เซวี่ยชื่อผิดหวังแล้วล่ะ! ของชิ้นนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่ประมุขนิกายเราเคยใช้ในสมัยก่อน มันมีผลแค่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายเราเท่านั้น” หยางเฉียนเรียกสติกลับมาได้ ก็ปราดตามองเซวี่ยชื่อก่อนที่จะกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ใยพี่หยางต้องระมัดระวังเช่นนี้ด้วยเล่า หรือท่านกลัวว่าข้าจะวางแผนมุ่งร้ายต่ออาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้หรือ!” เซวี่ยชื่อได้ยินก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยิ้มออกมา
“พี่เซวี่ยชื่อจดจำคำพูดนี้ไว้ก็พอ” หยางเฉียนกล่าวอย่างราบเรียบ
“แต่ที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือศิษย์น้องหลิ่ว จากการแสดงวิชากระบี่เมื่อครู่ เกรงว่าผู้คนในที่นี้ คงมีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใกล้การโจมตีนี้ได้ อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง” แม้ชายหนุ่มคิ้วแดงจากนิกายวาตอัคคีจะจ้องมองบนอากาศอยู่ แต่ก็กล่าวพึมพำแทรกเข้ามา
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา
เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจนว่า หลิ่วหมิงแสดงวิชากระบี่ออกมาได้อย่างไร และยังมีอานุภาพอันน่าตกใจด้วย
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวชุดเหลืองได้ส่งเสียงให้กับจางซิ่วเหนียง
“ศิษย์พี่จาง วิชากระบี่ที่ศิษย์น้องหลิ่วแสดงออกมาเมื่อครู่เป็นวิชารวมหมื่นกระบี่ขั้นพื้นฐานใช่ไหม แม้ว่าจะเป็นวิชาที่ที่บอบบางที่สุด แต่มันเป็นวิธีการของนิกายเราไม่มีผิด อีกอย่าง เมื่อครู่ดูเหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นไอกระบี่แปลกๆ อยู่จางๆ! นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่จริงๆ?”
“ที่หลิ่วหมิงผู้นี้ใช้วิชากระบี่ได้นั้น ข้ารู้ว่าเกิดจากอะไร ส่วนการโจมตีเมื่อครู่ ทำไมถึงมีกลิ่นไอกระบี่ออกมานี้ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ไม่เป็นไร! เชื่อว่าอีกสักครู่ข้าจะทำให้กระจ่างเอง” จางซิ่วเหนียงตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็กระทืบเท้าลงพื้นก่อนที่จะกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งขึ้นฟ้า นางเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงที่เพิ่งประลองเสร็จและเตรียมจะเหาะลงด้านล่างได้เห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าเจอกันแค่ไม่กี่ปี ศิษย์น้องหลิ่วก็ฝึกฝนวิชากระบี่ได้ มันทำให้ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกันอย่างข้ารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา หวังว่าศิษย์น้องจะแนะนำวิชากระบี่ให้ข้าบ้างเล็กน้อย” ดวงตาจางซิ่วเหนียงเปล่งประกายเยือกเย็น และกล่าวคำท้าสู้ออกมา
หยางเฉียน เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง
หลังจากพวกเขาเห็นวิชากระบี่ของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าจะทำให้จางซิ่วเหนียงรู้สึกสนใจขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นางกลับท้าสู้โดยไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้คนอื่นเลย มันทำให้คนอื่นหมดคำพูดขึ้นมา
แน่นอนว่าการที่หลิ่วหมิงถูกจางซิ่วเหนียงท้าสู้ ไม่ว่าจะมองจากทางด้านใด ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่เขาเป็นอย่างมาก
เพราะการรวมตัวในหลายครั้งที่ผ่านมาคนจำนวนมากต่างก็อยากแลกมือกับนาง แต่นางก็รับคำท้าเพียงครั้งเดียว และไม่เคยท้าสู้คนอื่นๆ มาก่อน
และก็เป็นเพราะว่าการรับคำท้าสู้ในครั้งนั้น นางแสดงพลังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนสร้างความกดดันให้คนอื่นๆ ไม่กล้าท้าสู้กับนาง
การรวมตัวในครั้งหลังๆ จางซิ่วเหนียงเกือบจะกลายเป็นผู้ชมโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครกล้าไปท้าสู้กับนางอีกเลย ทำให้นางเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนในกลุ่มนี้
ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่คิดว่านี่เป็นการให้เกียรติ พอเขามองหญิงสาวตรงหน้าแล้ว ก็ส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“ถ้าเปรียบเทียบแค่วิชากระบี่บินล่ะก็ วิธีการฝึกฝนงูๆ ปลาๆ ของศิษย์น้อง คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหาย และคงไม่ต้องประลองแล้ว”
“อืม! ฟังจากน้ำเสียงของสหายหลิ่ว คงมั่นใจว่ายังมีวิธีการอื่นที่เหนือกว่าวิชากระบี่บิน ดีมาก! นอกจากวิชากระบี่แล้ว มีวิธีการอะไรก็แสดงออกมาให้หมดเถอะ!” จางซิ่วเหนียงได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
จากนั้นนางก็คว้ามือไปด้านหลัง กระบี่หิมะขาวเล่มนั้นพุ่งออกมาจากฝัก และค่อยๆ หล่นลงบนมือของนาง
นางไม่ได้แสดงวิชาพิเศษอะไรออกมา เพียงแค่ตั้งกระบี่ยาวขวางไว้ตรงหน้า อากาศบริเวณก็ได้รับผลกระทบ จนก่อเกิดเป็นผลึกหิมะลอยวนรอบตัวนาง
ที่จริงจางซิ่วเหนียงก็รีบลงมือ โดยไม่ได้สนใจว่าหลิ่วหมิงจะตอบนางว่าอย่างไร
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้ว ถึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าจะรับท่านสักกระบี่ก็แล้วกัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา