“ได้! พอเห็นฝีมือทั้งสองครั้งของศิษย์น้องท่านแล้ว ข้าก็ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อสู้อีก” ชายหนุ่มคิ้วแดงยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็ทำความเคารพบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น และเหยีบเมฆสีแดงทะยานขึ้นฟ้าไป
เซวี่ยชื่อและคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ต่างก็พากันกล่าวลาแล้วก็จากไป
พริบตาเดียวขอบลานกว้างก็เหลือเพียงหยางเฉียนกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเท่านั้น
“พี่อวิ๋น ท่านยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ไม่มีอะไร ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทหยินชนิดหนึ่ง ต้องใช้พลังภายนอกเข้าช่วย ประจวบเหมาะกับข้าได้ไม้พลังหยินชิ้นเล็กๆ มาพอดี มันน่าจะเหมาะกับเจ้า” ชายแซ่อวิ๋นเหยียดปากยิ้ม จากนั้นก็หยิบไม้แห้งที่มีไอสีดำแผ่ออกมายื่นให้หลิ่วหมิง
“ไม้พลังหยิน! ของชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อข้ามาก ข้ามีสามพันหินจิตวิญญาณ คงเพียงพอที่จะจ่ายราคาสิ่งของชิ้นนี้” ยังไม่ทันได้รับไม้ดำ เขาก็ล้วงเอาถุงหนังที่ใส่หินจิตวิญญาณโยนออกไปก่อน
“ไม่ต้อง! ของสิ่งนี้ข้าเต็มใจมอบให้เจ้า!” แม้ชายหนุ่มหน้าดำจะรับถุงหนังมาแล้ว แต่ก็ส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็คิดที่จะโยนหินจิตวิญญาณกลับไป
“ถ้าพี่อวิ๋นไม่รับหินจิตวิญญาณไว้ล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจรับไม้พลังหยินชิ้นนี้ได้” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นย่อมเข้าใจในความเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย หลังจากยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วก็เก็บถุงหนังเข้าไป
สีหน้าหลิ่วหมิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากผ่อนคลายขึ้นมา เขายื่นมือไปรับไม้ดำ และจ้องมองด้วยความชอบใจ
“ใช่สิ! ข้าขอดูใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้หรือไม่?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เจ้าพูดอะไร!” หยางเฉียนที่กำลังชมไม้ในมืออยู่ต้องหยุดชะงักในทันที น้ำเสียงดูเยือกเย็นเสียดกระดูกยิ่งนัก
“เฮ่อๆ! ถ้าไม่ได้ล่ะก็ ให้คิดว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน” ชายหนุ่มใจเต้นขึ้นมา และรีบกล่าวแก้เก้อ
“สหายอวิ๋น เจ้าอย่าลืมคำสาบานที่ให้ไว้ในตอนนั้น นอกจากข้าจะเต็มใจแล้ว ห้ามพูดเรื่องสถานนะที่แท้จริงของข้าออกไปอย่างเด็ดขาด อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องไปเพ้อฝัน ยิ่งเจ้าลืมใบหน้าที่แท้จริงของข้าไปหมดสิ้นก็ยิ่งดี” หยางเฉียนลูบหน้ากากไปมา และกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก
“ข้าย่อมจำเรื่องนี้ได้ แต่ใบหน้าเจ้าน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะลืมได้ลง”
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นถอนหายใจกล่าวออกมา
“ฮึ! ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ก็ควรจำไว้ให้ดี วันที่เจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าเป็นครั้งที่สอง วันนั้นคือวันตายของเจ้า หยางเฉียนกล่าวอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและขี่เมฆเหาะจากไป
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นจ้องมองหลังของหยางจนหายไปลับตา ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก
……
เงาดำเคลื่อนไหวตรงหน้าบ้านหิน!
หลิ่วหมิงร่อนลงจากฟ้า พอเขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า พลังไร้รูปบางอย่างก็พุ่งไปผลักประตูหินออก
เขาขยับตัวอีกครั้ง!
เมื่อเขาเข้าไปในบ้านหิน ประตูก็ค่อยๆ ปิดเข้าหากัน
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ และยื่นมือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า
รอยแผลบนมือกลายเป็นรอยแผลจางๆ เท่านั้น
ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา แม้ไม่ต้องใช้วิชาฟื้นฟู ก็สามารถรักษาตัวเอง และจัดการกับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยทั่วไปได้
เขาขยับนิ้วทั้งห้าไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามันยังคล่องตัวดีอยู่ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อดึงกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมาสังเกตดู ขณะเดียวกันภาพกระบี่ยาวหิมะขาวของจางซิ่วเหนียงเล่มนั้น ก็ผุดขึ้นในสมอง
แม้จะไม่รู้ว่ากระบี่ที่นางใช้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใด แต่คิดว่าคงไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับต้นอย่างแน่นอน มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางพอๆ กับกระบี่จันทราหยก
วิชากระบี่บินที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกมามีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่า จางซิ่วเหนียงไม่ได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงของกระบี่บินนี้ออกมาทั้งหมด
ซึ่งกล่าวได้ว่า ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้มีความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ห่างจากเขามาก
กล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่า วิชากระบี่บินของจากซิ่วเหนียงน่ากลัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลิ่วหมิงนึกถึงฉากที่นางโยนกระบี่ออกไป จากนั้นก็กลายเป็นแพรขาวโจมตีแสงกระบี่ที่กระบี่จันทราหยกปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่า เคล็ดวิชาการกระตุ้นให้กระบี่กลายเป็นแสงกระบี่ของจางซิ่วเหนียง สูงส่งกว่าวิธีการที่เขาใช้ในตอนนี้มาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา