ร่างวานรสีทองเกิดการเคลื่อนไหว และก้าวยาวๆ เข้ามา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกระโจนเข้าใส่วานรสีทอง ร่างของเขาพร่ามัวและจมหายเข้าไปในนั้น
วานรสีทองที่ดูแข็งกระด้างกลับมีแสงเปล่งประกายขึ้นในดวงตา ตอนนี้มันดูปราดเปรียวเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์พี่จาง ข้าควบคุมหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อไปก่อนนะ”
พอกล่าวจบ วานรสีทองก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น ก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังเมืองลอยน้ำ
“หุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อ!”
ข้าได้ยินมานานแล้วว่า ในสมัยบรรพกาล หุบเขาเก้าช่องเคยได้หุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อจากแดนลึกลับแห่งหนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นวานรสามตาตัวนี้! จากชื่อเสียงของวานรสามตาในสมัยบรรพกาล ต่อให้มันจะแสดงพลังของมันแค่หนึ่งถึงสองในสิบส่วน ก็เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย” เซวี่ยเฟิงแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นฉากนี้
“แต่ตามบันทึกกล่าวว่า ถ้าจะควบคุมร่างหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อที่ปรับแต่งมาจากอสูรจิตวิญญาณ โดยทั่วไปไม่อาจใช้วิธีการควบคุมหุ่นมาควบคุมได้ เกรงว่าศิษย์น้องอวิ๋นคงมีสายโลหิตเดียวกับหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อ ถึงเข้าไปในร่างมันได้อย่างราบรื่น” หญิงชุดเขียวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีโลหิตของภูตอยู่ในร่าง เพื่อให้กำเนิดลูกหลานที่แข็งแกร่งของมนุษย์เราในสมัยบรรพกาล จึงมีการเกี่ยวดองกับคนต่างเผ่าถ่ายทอดทายาทมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้เกรงว่าเผ่ามนุษย์เราต่างก็มีพลังของสายเลือดต่างเผ่าแฝงอยู่หนึ่งถึงสองเผ่า มิเช่นนั้นไหนเลยจะให้กำเนิดร่างจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร แต่สายโลหิตวานรสามตาของในร่างของศิษย์น้องอวิ๋นคงจะเจือจางเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปสามารถมองข้ามไปได้เลย แต่เอามาใช้กระตุ้นหุ่นจิตวิญญาณตัวนี้กลับเหมาะสมเลยทีเดียว ด้วยสายโลหิตวานรสามตาที่หาได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่าหุบเขาเก้าช่องใช้ความพยายามไปตั้งเท่าไหร่ ถึงหาศิษย์น้องอวิ๋นเจอ” ชายหนุ่มผมขาวค่อยๆ กล่าวออกมา
หญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ดึงยันต์ที่ติดอยู่บนกล่องหยกออก และโยนออกไปด้านหน้าก่อนที่จะทำท่ามือด้วยมือเดียวและชี้ออกไป
ทันใดนั้นมีเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมา ฝากล่องเปิดออก เผยให้เห็นโครงกระดูกขนาดเล็กที่สูงฉื่อกว่าๆ ลำตัวเต็มไปด้วยอักขระสีเงิน และมีสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งขาดแขนไปข้างหนึ่ง
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ป้ายคำสั่งสีขาวก็ปรากฏในมือ เขาค่อยๆ โบกไปทางโครงกระดูก ขณะเดียวก็ตะโกนคำว่า “เร็ว!” ออกมา
“ฟู่!”
อักขระสีดำบนแผ่นป้ายเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ไอสีดำพวยพุ่งออกจากพื้นผิวของโครงกระดูก พริบตาเดียวโครงกระดูกก็จมอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาขยับตัวพุ่งเข้าไปในไอดำ
ครู่เดียว ก็มีเสียงคำรามออกจากไอดำ จากนั้นไอดำก็พากันม้วนตัวกระจายไปรอบทิศทาง
แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น!
พอไอดำสัมผัสโดนขอบค่ายกลของจางซิ่วเหนียง ก็ถูกม่านแสงสีขาวต้านทานไว้
หญิงสาวขุดเขียวและชายหนุ่มชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ถอยออกไปด้วยความแปลกใจ
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่ใช้แผ่นป้ายกระตุ้นอยู่ท่ามกลางไอดำไม่หยุด
“ตู๊ม!”
เท้ากระดูกยักษ์สีขาวขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก้าวออกจากไอดำ ขณะเดียวกันโครงกระดูกขนาดมหึมาที่สูงสามสิบกว่าจั้ง ก็ปรากฏตัวขาดๆ หายๆ ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย
หลิ่วหมิงเหยียบอยู่บนไหล่ของโครงกระดูกยักษ์ และตะโกนคำว่า “ไป!” ออกมา
ทันใดนั้น ไอดำบริเวณนั้นก็พวยพุ่งรวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ห่อหุ้มโครงกระดูกกับหลิ่วหมิงไว้ ก่อนที่จะพาทะยานขึ้นฟ้าเหาะไปยังเมืองลอยน้ำ
เวลานี้ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นที่ออกนำไปก่อน ก็มาถึงขอบเมืองลอยน้ำ หุ่นจิตวิญญาณวานรสีทองที่ควบคุมอยู่ก็กลายเป็นอสูรขนาดมหึมาที่มีขนาดใหญ่ร้อยกว่าจั้ง และปลดปล่อยอานุภาพอันเกรียงไกรโจมตีอสูรสมุทรชนิดต่างๆ
พริบตาเดียวก็มาถึงเมืองลอยน้ำ
เผ่าเจ้าสมุทรที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองลอยน้ำเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนออกมาเป็นระลอกๆ ขณะเดียวกันธนูยักษ์ที่ติดตั้งอยู่บนนั้นก็พุ่งยิงไปยังวานรสีทองราวกับสายฝนกระหน่ำ แต่พอมันเข้าใกล้วานรสีทองในระยะไม่กี่จั้ง ก็ถูกแสงสีทองดีดกระเด็นกลับอย่างง่ายดาย
อาวุธกับวิชาต่างๆ ที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้โจมตี ไม่สามารถทำอะไรแสงสีทองนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
พอวานรยักษ์สีทองชกหมัดใส่หัวอสูรสมุทรสองตนที่เหลืออยู่ในทะเลสาบแล้ว ร่างของมันก็มาอยู่บนอากาศเหนือเมืองลอยน้ำ และทุบหมัดใส่กำแพงเมืองส่วนหนึ่งอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ม่านแสงหลากสีเป็นชั้นๆ ปรากฏออกมาบนพื้นผิวของเมืองลอยน้ำเป็น เพื่อต้านทานการโจมตีของวานรสีทองตัวนี้
แต่ภายใต้การควบคุมวานรสีทองของชายหนุ่มแซ่อวิ๋น มันก็กระหน่ำโจมตีเมืองลอยน้ำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ม่านแสงชั้นจำกัดค่อยๆ สลายไปราวกับหิมะที่ละลายท่ามกลางแสงแดด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยักคิ้วขึ้นมา ดูท่าเขาคงไม่ต้องรีบเข้าไปช่วย ศิษย์พี่อวิ๋นคนเดียวก็สามารถทำลายชั้นจำกัดภายนอกจนหมดเกลี้ยงได้
ขณะนี้มีแสงเปล่งประกายตรงอากาศบริเวณด้านข้าง เงาร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนไอดำที่โครงกระดูกยักษ์สร้างขึ้น
หลิ่วหมิงหันไปมองก็เห็นเป็น ‘ศิษย์พี่โม่’ นั่นเอง
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่คือปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกที่มีชื่อเสียงของนิกายเจ้าใช่ไหม? อิๆ! เจ้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องอวิ๋น ถ้าเจ้าควบคุมปีศาจมนุษย์ตนนี้ล่ะก็ คงไม่สามารถทำการป้องกันได้ ให้ข้าคุ้มกันเจ้าสักครู่เถอะ!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา