อ่านสรุป ตอนที่ 271 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 271 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
“ตู๊ม!”
เงากระบองสีเทาจางๆ ยาวสิบกว่าลี้โผล่ขึ้นบนอากาศเหนือเผ่าเจ้าสมุทร และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ก่อนหล่นลงด้านล่าง น้ำทะเลด้านล่างแยกออกจากกันด้วยพลังไร้รูป คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกเงากระบองตัดออกเป็นสองส่วน
หลังจากพื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา ก็บังเกิดร่องน้ำขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
เผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้นล้มตายเป็นจำนวนมาก
อานุภาพกระบองของราชาปีศาจแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ราชาปีศาจไร้หัวของนิกายปีศาจปรากฏตัวนั้น ก็มีแสงสีดำแดงม้วนตัวออกจากยอดเขาดำของนิกายวาตอัคคี จากนั้นก็รวมตัวเป็นวิหคยักษ์สีแดง และสีดำที่ลำตัวยาวสามสิบกว่าจั้ง วิหคยักษ์ทั้งสองบินพุ่งออกไปพร้อมเสียงร้องแหลม
ภายใต้การกระพือปีกของวิหคตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดเป็นคมวายุจำนวนมากฟาดฟันออกไปด้านหน้า
ส่วนอีกตัวก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟขนาดเท่าศีรษะออกไปอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากหุ่นจำนวนมากที่อยู่บนเมืองไม้ดำของหุบเขาเก้าช่องออกไปจนหมด มันก็เปลี่ยนรูปร่างท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม จนกลายเป็นหุ่นมนุษย์ที่สูงหลายร้อยจั้ง แขนใหญ่ยักษ์ค้ำฟ้าทั้งสองชี้ไปด้านหน้า ลำแสงสีขาวน้ำนมจำนวนมากพุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร
ส่วนบรรดาศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ ภายใต้การกระตุ้นของอาจารย์จิตวิญญาณ พวกเขาต่างก็พากันตั้งค่ายกลกระบี่ที่มีขนาดแตกต่างกัน เพื่อรวมพลังกระตุ้นแสงกระบี่ต่างๆ ที่ยาวหลายจั้ง ก่อนฟาดฟันออกไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ภายใต้การกระตุ้นของศิษย์นิกายหยวนหมัวและอีกสองนิกาย พวกเขาเรียกหน้าปีศาจยักษ์สีเขียวมันขลับ และผีเสื้อหลากสีที่สูงสิบกว่าจั้งออกมาหนึ่งตัว
ตัวหนึ่งอ้าปากพ่นวายุปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ส่วนอีกตัวก็กระพือปีกทั้งสองตามแรงลม ก่อให้เกิดเป็นผงระยิบระยับจำนวนมากล่องลอยออกไป
ม่านวารี และเลือดเนื้อของเผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรที่ถูกม้วนเข้าไปในวายุปีศาจ ต่างก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ สลายไป พริบตาตาเดียวศพแห้งๆ ก็หล่นลงจากอากาศ
และเผ่าเจ้าสมุทรที่สัมผัสโดนผงระยิบระยับ ก็หน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายก็สั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด จากนั้นเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกจากหูจมูก และเผาไหม้ตนเองจนเสียชีวิต
ขณะที่ทางมนุษย์พยายามใช้ทุกวิถีทางโจมตีนั้น ทางฝั่งเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่ยอมน้อยหน้า!
ท่ามกลางเสียงร่ายคาถา เผ่าเจ้าสมุทรรวบรวมน้ำทะเลจำนวนมากจนกลายเป็นยักษ์สีฟ้าห้าหัวที่สูงหลายร้อยจั้ง แม้ว่าจะมีมือเท้าทั้งสี่ครบ แต่ใบหน้าสีฟ้ากลับราบเรียบ ไม่มีอวัยวะใดๆ เลยแม้แต่น้อย และมือทั้งสองก็กำกระบี่ยักษ์ยาวร้อยจั้งที่กลายร่างมาจากน้ำทะเล
พอมนุษย์วารียักษ์ปรากฏตัวออกมา สองหัวก็หันไปปะทะกับราชาปีศาจ อีกหัวก็โจมตีไปยังหุ่นที่กลายร่างมาจากเมืองไม้ดำนั้น อีกสองหัวที่เหลือก็รับมือกับค้างคาวโลหิตกับหุ่นอสูรที่เฮโลเข้ามา
อสูรสมุทรสิบกว่าตนที่มีรูปร่างน่าตกใจ ก็พุ่งออกจากกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร เพื่อโจมตีม่านแสงของมนุษย์
สำหรับอสูรสมุทรตนอื่นๆ ส่วนหนึ่งปะทะเข้าใส่หุ่นอสูร อีกส่วนหนึ่งก็ตามติดอสูรยักษ์ตนอื่นๆ เพื่อโจมตีม่านแสงที่ปกคลุมมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากเมฆดำที่อยู่เหนือเผ่าเจ้าสมุทร ปลาวาฬสีขาวที่ลำตัวยาวสามสิบจั้ง จำนวนสิบกว่าตัวก็พุ่งออกจากในนั้น รอบด้านเต็มไปด้วยพื้นที่น้ำทะเลขนาดใหญ่ร้อยหมู่ลอยวนอยู่
ท่ามกลางน้ำทะเล มีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
ในขณะที่ผู้ฝึกฝนระดับสูงของมนุษย์กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีเสียง “ซ่าๆ!” ดังมาจากน้ำทะเลกลางอากาศ จากนั้นมัจฉาบินสีเงินก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
แต่ละตัวมีขนาดใหญ่ไม่เกินนิ้วโป้ง แต่กลับมีปีกตรงหลัง มีเขี้ยวแหลมคมเต็มปาก พริบตาเดียวมันก็กระจายไปทั่วท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงที่ปกป้องมนุษย์ ราชาปีศาจ หุ่นขนาดใหญ่เล็ก ค้างคาวโลหิต และหน้าปีศาจ ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของมัน
ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกขนลุกขนพองจนถึงขีดสุด
ขณะนั้นเอง ทางฝั่งมนุษย์ก็มีคนออกคำสั่งขึ้นมา จากนั้นม่านแสงที่ปกคลุมศิษย์แถวหน้าก็สลายไป ผู้คนทั้งหมดส่งเสียงตะโกนแล้วพากันขี่เมฆพุ่งออกไปด้านหน้า
พอเสียงสัญญาณดังขึ้น เผ่าเจ้าสมุทรตรงหน้าก็พุ่งออกไปด้านหน้าด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายต่างก็รบกันนัวเนีย
……
ณ โพรงใต้ดิน หลิ่วหมิงได้ลืมตาขึ้นมานานแล้ว และนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรค้นพบ แม้พวกเขาทั้งห้าจะอยู่ภายในชั้นจำกัด แต่ก็ไม่กล้าส่งพลังจิตออกไปนอกโพรงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะจินตนาการถึงการรบอย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่ายได้
ศึกใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ตาม เกรงว่าจะต้องได้รับการบาดเจ็บ และสูญเสียไม่น้อย ซึ่งไม่อาจฟื้นคืนภายในระยะเวลาร้อยปีได้
ด้วยเหตุนี้ บวกกับภาระหนักอึ้งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ทำให้บรรยากาศในโพรงดินเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
แม้หญิงสาวชุดเขียวที่หัวเราะด้วยความสนุกสนานอยู่ตลอด ก็สำรวมในการพูดและหัวเราะมากขึ้น
“ศิษย์พี่โม่ เปิดศึกมานานขนาดนี้ คงได้เวลาพอสมควรแล้วล่ะ!” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นนั่งขัดสมาธิได้ครู่หนึ่ง ก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องอวิ๋นอย่าได้ใจร้อนไป! พอถึงเวลาที่พวกเราต้องลงมือจริงๆ จะมีคนส่งสัญญาณมาเอง” หญิงสาวชุดเขียวกล่าวอย่างสงบ
พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้
ด้วยลักษณะนิสัยของเขา การนั่งอย่างสงบเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทรมาณเป็นอย่างมาก มันยากที่จะอดทนได้
จากนั้นคนทั้งห้าก็ขึ้นไปจากโพรงใต้ดิน
หลิ่วหมิงเพียงแค่กวาดสายตามองไปยังเมืองลอยน้ำ ก็มองเห็นควันดำที่พุ่งขึ้นจากกำแพงเมืองด้านหนึ่ง และผนังส่วนหนึ่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยของการถูกโจมตี ขณะเดียวกันผิวน้ำบริเวณนั้นก็มีศพลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ในนั้นมีทั้งเผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทร โลหิตสดๆ สาดไปทั่วพื้นผิวน้ำ
“ดูท่าคนอีกสองกลุ่มในก่อนหน้านี้คงลงมือไม่เบา! พวกข้าสองคนจะช่วยคุ้มครองพวกเจ้า พวกเจ้าลงมือเถอะ!” เซวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยประกายตาที่เยือกเย็น
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป
หลิ่วหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อควักกล่องหยกสีดำที่สูงฉื่อกว่าๆ ออกมา บนนั้นมียันต์ปิดผนึกอยู่เป็นจำนวนมาก
จางซิ่วเหนียงหยิบธงค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และโยนออกไปรอบด้าน จากนั้นค่ายกลแปลกประหลาดก็ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงที่เปล่งประกาย
นางก้าวเข้าไปในค่ายกลทันที และนั่งขัดสมาธิลงไป
แต่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นลูกกลมๆ สีเลือดที่มีลวดลายสีทองปกคลุมอยู่ก็ถูกโยนออกมา
ชายหนุ่มเอานิ้วแตะหน้าผาก ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ลูกกลมๆ
“ฟู่!” โลหิตบริสุทธิ์ระเบิดออกมา และกลายเป็นไอหมอกจมหายเข้าไปในลูกกลมๆ
ลูกกลมๆ ที่เดิมทีดูไร้ชีวิต ก็มีอักขระสีทองเปล่งประกายออกมาบนพื้นผิว และเปล่งลำแสงอันน่าตกใจออกมา
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นทำท่ามือชี้ไปทางลูกกลมๆ อย่างบ้าคลั่ง
พอมีเสียงแตกหักดังออกมา ลูกกลมๆ สีเลือดก็พร่ามัวกลายเป็นหุ่นวานรสีทองที่สูงสองจั้ง
แต่หุ่นตัวนี้แตกต่างจากหุ่นวานรยักษ์ที่หลิ่วหมิงเคยพบเห็น มันไม่เพียงแต่มีผิวหนังกับขนสีทองที่ดูหนาๆ เท่านั้น ระหว่างคิ้วยังมีดวงตาโลหิตที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และยังเปล่งแสงเย็นสะท้านอันน่าตกใจออกมา ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
มีเพียงแค่ข้อต่อจุดสำคัญที่เป็นเหล็กสีดำกลมๆ ที่พอจะทำให้คนมองลักษณะเฉพาะของมันออกได้
พอชายหนุ่มแซ่อวิ๋นปล่อยวานรสีทองออกมา ก็กัดนิ้วตัวเองทันที และใช้โลหิตบริสุทธิ์เขียนอักขระไว้ระหว่างคิ้ว
ฉากอันน่าแปลกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
อักขระที่อยู่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นหมุนติ้วๆ จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นดวงตาปีศาจ นอกจากจะดูแข็งกระด้างไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนเหมือนกับดวงตาโลหิตที่อยู่ระหว่างคิ้วของวานรสีทองไม่มีผิด
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา