หลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีใบหน้าและร่างกายเป็นผู้อาวุโสที่ย่างเข้าวัยหกสิบเท่านั้น แม้แต่เรื่องที่ตนเองเป็นผู้ฝึกฝนก็ลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
“ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าท่านกลายเป็นคนแก่ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่นี่คงเป็นเจตนาฟ้าซึ่งข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ทำไมท่านถึงเรียกข้าว่าสหายล่ะ ทั้งยังใช้เวลาหลายสิบปีสร้างเรื่องหลอกหลวงขึ้นมา แต่ในเมื่อลูกของข้าไม่ได้ตายไปจริงๆ ทั้งยังถูกท่านเลี้ยงดูจนโต และยังมีลูกหลานอย่างง่ายดาย ข้าก็ขี้เกียจจะถามหาเหตุผลแล้ว ให้ข้าเป็นเพื่อนเจ้าในชีวิตที่เหลือเถอะ!” จางยาหันใบหน้างดงามมองใบหน้าซีดขาวของหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา แต่ใครก็ฟังน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของนางออก
“แม้ข้าจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ แต่หากมีเจ้าเป็นเพื่อนล่ะก็ ทางเดินที่เหลืออยู่คงจะไม่ยากเย็นมากนัก” ผู้อาสุโสผมสีดอกเลามองใบหน้านางครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หญิงผมขาวยิ้มหวานออกมา ใบหน้าเผยแววแห่งความสุข
……
ภายในวิหารของนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ในเมืองยักษ์
“หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว สหายหลิ่วยังไม่สามารถเรียกซิ่วเหนียงให้ฟื้นได้! สหายสือ เริ่มกระตุ้นแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ที่รออยู่นอกค่ายกลอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดกล่าว
“อืม! มันเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ท่านเซียนสือ ต่อไปก็ลำบากเจ้าแล้วล่ะ!” หยวนหมัวพยักหน้าอย่างสงบ และหันไปกล่าวกับหญิงนิกายหมื่นมหัศจรรย์ที่อยู่ด้านข้าง
“ได้! เรื่องนี้มอบให้ข้าเถอะ” หญิงเสื้อม่วงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
จากนั้นนิ้วมือเรียวราวกับหยก ก็ชี้ไปเหนือแสงทรงกลดเจ็ดสี
“หวึ่ง!”
แผ่นหยกสีขาวหมุนวนอยู่ท่ามกลางแสงทรงกลด ทำให้แสงทรงกรดพร่ามัวขึ้นมา
บังเกิดเสียงดังขึ้น ลำแสงเจ็ดสีถูกพ่นออกมาทันที และจมเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียง
หญิงผู้นี้ทำเสียงฮึดฮัดออกมา แม้ตาทั้งคู่จะหลับสนิท แต่คิ้วกลับขมวดขึ้น ราวกับว่ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้ากังวลออกมา
สีหน้าเย่เทียนเหมยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สหายทั้งสองวางใจเถอะ! แผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณ เพียงแค่ส่งผลกระทบกับโลกมายาที่แมลงพิษสร้างขึ้น ทำให้ทั้งสองเข้าสู่เส้นทางการเกิดใหม่ และด้วยเคล็ดวิชาที่แสดงไว้ในก่อนหน้า แม้ว่าทั้งสองจะเกิดใหม่ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่แยกจากกัน ศิษย์หลานจางจะต้องไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อย่างแน่นอน” เมื่อท่านเซียนสือเห็นว่าผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ทั้งสองมีท่าทีกังวล นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงาม
“สหายสือยื่นมือเข้าช่วยขนาดนี้ ข้าจะไม่วางใจได้อย่างไร” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าว
เย่เทียนเหมยก็ยิ้มแห้งๆ
ไม่รู้ว่าเวลาในโลกมายาผ่านไปกี่ปี
ในเมืองที่คึกคักแห่งหนึ่ง หญิงสาวคิ้วเรียวยาว รูปร่างสูงชะลูด ยืนอยู่บนหอที่ปกคลุมไปด้วยผ้าแพรต่วน นางถือลูกกลมๆ หลากสีสันอยู่ในมือ นางกัดริมฝีปากจ้องมองกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่อยู่ด้านล่าง
กลุ่มคนส่วนมากเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสองยี่สิบสามปี แต่ละคนล้วนจ้องมองหญิงสาวบนหอด้วยสีหน้าคลั่งไคล้
ห่างออกไปไม่ไกล มีข้ารับใช้ถือกระบองคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าลังเลอะไรอยู่! คนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ล้วนเป็นชายหนุ่มตระกูลที่มีชื่อเสียงมาให้เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ” ผู้อาวุโสร่างท้วมข้างหญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ลูกก็จะโยนแล้วนะ!” หญิงสาวกัดฟัน และโยนลูกกลมๆ หลากสีลงไปด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
ผู้คนด้านล่างฮือฮาขึ้นมาทันที ชายหนุ่มทั้งหมดพุ่งไปยังทิศทางที่ลูกกลมๆ หล่นลงมา
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวมาทางอากาศ มันพัดเอาลูกกลมๆ ออกไปด้านข้าง และตกลงไปในอ้อมกอดของบัณฑิตอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปีที่ถือม้วนหนังสือเก่าๆ อยู่ในมือ
พอบัณฑิตผู้นี้เห็นลูกกลมๆ ตกอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แต่พอเขามองขึ้นไปบนหอ ก็สบตากับหญิงสาวผู้นั้นพอดี
ทั้งสองตัวสั่นสะท้าน และเกิดความรู้สึกประหลาดๆ ราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน
ขณะนั้นเองข้ารับใช้จำนวนมากก็พุ่งมาทางชายหนุ่ม และใครคนหนึ่งก็รีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับคุณชายด้วย! ท่านเป็นลูกเขยของนายท่านแล้ว”
พอกล่าวจบ ข้ารับใช้กลุ่มนี้ก็พากันคลุมชุดเจ้าบ่าวให้กับบัณฑิตผู้นี้ และพาเข้าไปยังประตูใหญ่ของหอ
สามปีต่อมา
บริเวณหน้าประตูเมือง บัณฑิตหนุ่มในปีนั้นมีหนวดสั้นๆ อยู่ข้างมุมปาก เขาเอ่ยคำลากับหญิงสาวที่อุ้มเด็กอายุสองขวบอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา