พอเท้าทั้งคู่เหยียบบันไดหินสีขาวเทา หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ สั่นไหว แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขานึกถึงฟองอากาศลึกลับขึ้นมาทันที จากนั้นก็ส่งพลังจิตกวาดดูทะเลจิตวิญญาณ แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
หรือว่าเมื่อครู่เขาจะมโนไปเอง!
หลิ่วหมิงครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“ทำไมหรือ! สหายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? อ้อ! ข้าเกือบลืมไป ไอปีศาจบนเขาปีศาจยักษ์หนาแน่นมาก คนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกจะไม่ค่อยชินกับมัน” เซียวเยวี่ยไป๋ค้นพบความปกติของหลิ่วหมิง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก
“ตอนที่ข้ามา ได้ยินศิษย์นิกายท่านพูดว่า เขาปีศาจยักษ์นี้กลายร่างมาจากหัวปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาล! หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ การที่เขาลูกนี้แผ่ไอปีศาจอันน่าตกใจออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด” หลิ่วหมิงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“สหายหลิ่วไม่เชื่อตำนานนี้สินะ! เฮ่อๆ! ไม่เพียงแต่สหายเท่านั้น ความจริงแล้วผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายเรา ก็มีไม่กี่คนที่เชื่อเรื่องนี้ มีแค่ตันกานและศิษย์ระดับต่ำเท่านั้นที่เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันมากมาย แต่มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนว่า มันเป็นรังของปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาลที่ถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน ว่ากันว่า ก่อนหน้าที่นิกายเราจะก่อตั้งขึ้นมา เคยมีคนพบซากกระดูกของปีศาจตนอื่นๆ ตรงบริเวณไหล่เขา แน่นอนว่าตอนนี้ถูกค้นเอาไปหมดแล้ว ตอนนี้กลายเป็นแดนต้องห้ามของนิกายเรา” เซียวเยวี่ยไป๋อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็พอจะอธิบายได้” หลิ่วหมิงเริ่มเข้าใจเล็กน้อยแล้ว
ทั้งสองพูดคุยกันจนกระทั่งมาถึงหน้าวิหารที่สร้างจากหินสีดำโดยไม่รู้ตัว
ในวิหาร ผู้อาวุโสคิ้วสีขาว สวมชุดคลุมยาวสีดำกำลังยืนเอามือไหว้หลังรออยู่ที่นั่น พอเขาเห็นหลิ่วหมิงทั้งสองเดินเข้ามา ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย
“ศิษย์พี่สวี่ ข้าขอแนะนำสักหน่อย นี่คือสหายหลิ่วหมิงที่อาจารย์อาหยวนเคยเอ่ยปากชม” พอเซียวเยวี่ยไป๋เห็นผู้อาวุโส ก็รีบแนะนำด้วยรอยยิ้ม
“หลิ่วหมิงเสียมารยาทไปหน่อยที่มาพบช้าไป หวังว่าท่านประมุขจะให้อภัย!”
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่รู้มาก่อนว่าบุคคลอันดับหนึ่งของอวิ๋นชวนอย่างหยวนหมัวจะกล่าวชมเขา แต่เขาก็รีบก้าวไปคารวะทันที
ในเมื่อเขาต้องการมานิกายหยวนหมัว ก่อนมาเขาย่อมทำความเข้าใจกับประมุขนิกายหยวนหมัวผู้นี้มาบ้างแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายยิ่งนัก
ข่าวเกี่ยวประมุขนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนอย่าง ‘สวี่เซียวเหวิน’ ถูกเล่าลือในโลกภายนอกน้อยมาก นอกจากเรื่องราวบางอย่างที่พูดถึงเรื่องของประมุขนิกายผู้นี้แล้ว ก็ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับเขาอีก
มันช่างแตกต่างจากสถานะนิกายอันดับหนึ่งมากนัก
จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง ที่สถานการณ์มันเป็นเช่นนี้คง หนีความเป็นไปได้สองข้อนี้ไม่พ้น
ประการแรกคือ ประมุขนิกายหยวนหมัวผู้นี้ปฏิบัติตัวธรรมดามาก ดังนั้นถึงไม่มีเรื่องอะไรให้เล่าลือออกไป ประการที่สองคือ เจตนาทำตัวให้ต่ำต้อย และปิดข่าวเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด ทำให้คนภายนอกไม่อาจรับรู้ได้
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ผู้ที่สามารถกลายเป็นประมุขของนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนได้ ทำไมจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งล่ะ อย่างมากคงเป็นประการที่สองแล้วล่ะ
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ นิสัยของประมุขนิกายปีศาจผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา จะต้องเป็นผู้ที่เอาใจยากอย่างแน่นอน
“สหายหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็อยากเห็นผู้ที่อาจารย์อาหยวนกล่าวชมมานานแล้ว เฮ่อๆ! ระดับสายตาอย่างอาจารย์อาหยวน คนธรรมดาไม่อาจเข้าตาท่านได้ ดูท่าสหายคงมีความสามารถเหนือผู้อื่นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ประมุขสวี่ชมเกินไปแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อาวุโสหยวนจะชมข้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน
แม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังจิตกวาดดูระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสตรงหน้า แต่กลิ่นไอบนตัวเขาที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกดดัน ก็ทำให้เห็นว่า เขาคงอยู่ระดับของเหลวขั้นปลายเหมือนกับประมุขนิกายปีศาจ
“ศิษย์พี่สวี่ สหายหลิ่ว พวกท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้หรอก พวกเรานั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย” เห็นได้ชัดว่าเซียวเยวี่ยไป๋มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ ขณะนี้เขาหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินก็ยิ้มออกมา และรีบบอกให้หลิ่วหมิงนั่งลง
“ตามที่ข้าทราบมา การคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์ทางด้านพันธมิตรได้เริ่มขึ้นแล้ว สหายไม่ไปดูหน่อยหรือ ทำไมถึงมานิกายหยวนหมัวของเราได้ล่ะ?” พอหลิ่วหมิงนั่งลงแล้ว สวี่เซียวเหวินก็กล่าวออกมาตามตรง
“การคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์นั้น มีอาจารย์อาเยี่ยนนำไปก็พอแล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้ เพราะมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากท่านประมุขสวี่!” หลิ่วหมิงก็กล่าวตามตรงเช่นกัน
“มิกล้า มิกล้า สหายหลิ่วมีเรื่องอะไรก็ถามมาเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็กล่าวออกมาด้วยท่าทีสงบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว ข้าได้ยินชื่อเจดีย์กักปีศาจมานาน ว่ากันว่าในนั้นมีปีศาจอสูรอยู่มากมาย แต่ไม่ทราบว่ามีอสูรประเภทพยัคฆ์หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์?”
ไม่ว่าจะเป็นเซียวเยวี่ยไป๋หรือประมุขนิกายหยวนหมัว ต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา